Christmas เวียนมาเป็นรอบแรกสำหรับ Anglo-Society ของเรา จึงบังควรเป็นอย่างยิ่งที่เดือนนี้จะได้กล่าวถึงเรื่องพระประสูติกาล “คริสตสมภพ” หรือที่ชาวคริสต์ตะวันตกเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “The Nativity” เสียหน่อย
ชีวประวัติของพระเยซู(Jesus)ได้รับการบันทึกไว้ในคำภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ในส่วนที่เรียกว่า Gospels ที่ปัจจุบันนี้ยอมรับยึดถือใช้กันมีอยู่สี่เล่ม (canonical Gospels) เขียนขึ้นโดยชายสี่คน คือ มัทธิว(Mathew) มาระโก(Mark) ลูกา(Luke) และยอห์น(John)
หลายคนอาจสงสัยว่าชายหนุ่มทั้งสี่ผู้เขียน Gospels นี้ได้ไปสนิทสนมกลมเกลียวกับ Jesus อย่างไรจึงมีข้อมูลละเอียดและตรงกันได้ขนาดนี้ เรื่องมีอยู่ว่าหลังจากที่ Jesus สิ้นพระชนม์ บรรดาอัครฑูตผู้ติดตาม Jesus (disciples) ก็พากันประกาศเรื่องราวของพระองค์ด้วยวาจา ชายทั้งสี่นี้คือผู้ที่ได้รวบรวมคำพูดเหล่านั้นแล้วเขียนขึ้นมาเป็นรายลักษณ์อักษรค่ะ
2. ภาพวาดผู้เขียน Gospels ทั้งสี่เล่ม
Gospel แต่ละเล่มจะบอกเล่าเรื่องราวทั้งประวัติและคำสอนของ Jesus ทว่า focus ในรายละเอียดจะต่างกันเล็กน้อยแล้วแต่มุมมองที่แต่ละคนเขาบรรจงเลือกมาเขียน หากได้อ่าน Gospels ทั้งสี่เล่มประกอบรวมกันก็จะทำให้เราได้รู้จักและสัมผัส Jesus ในมุมที่ครบถ้วน
Gospel แปลว่า ข่าวดี (good news) ข่าวดีที่ว่าก็คือข่าวดีที่ Jesus นำมายังโลกนี้ ซึ่งก็คือคำสอน แต่ข่าวดีที่สำคัญที่สุดคือก็เสรีภาพของมนุษย์ทุกคนที่ได้หลุดพ้นจากบาปทั้งปวงโดยแลกกับความตายของ Jesus บนไม้กางเขน
สำหรับภาษาไทย ชาว Protestants เรียก Gospels ว่า "ข่าวดี" หรือ "พระเกียรติคุณ" ส่วนชาว Catholics จะใช้คำว่า "พระวรสาร"ค่ะ คริสตสมภพที่จะเล่าให้ฟังในครั้งนี้ผู้เขียนเลือกหยิบมาจาก Gospels ของ Mathew และ Luke เพราะมีรายละเอียดเรื่องการประสูติของ Jesus อยู่ค่อนข้างละเอียด
The Birth of John the Baptist Foretold: กำเนิดของยอห์นผู้ให้รับบัพติสมา
ก่อนที่จะทราบเรื่องราวการประสูติของ Jesus มีอีกหนึ่งบุคคลที่สำคัญมากที่เราควรจะต้องรู้จัก นั่นคือ John the Baptist เรื่องราวของ John มีบันทึกไว้ใน Gospel ของ Luke ค่ะ
เรื่องมีอยู่ว่ามีคู่สามีภรรยาอายุมากอยู่คู่หนึ่งคือนาง Elizabeth กับนาย Zechariah (เศคาริยาห์) ทั้งคู่ไม่มีบุตรเพราะนาง Elizabeth เป็นหมัน (barren) และอายุก็มากแล้ว วันหนึ่งฑูตสวรรค์ Gabriel ได้มาปรากฏกายต่อหน้า Zechariah แล้วบอกว่าท่านจะมีบุตรชาย และผองชนจะเปรมปรีดิ์ที่เด็กคนนี้เกิดมาเพราะเขาจะเป็นผู้นำพงศ์พันธุ์อิสราเอลหลายคนให้หันกลับมาหาพระเจ้า เขาจะเป็นผู้ตระเตรียมชนชาติไว้ให้สมแก่พระเจ้า จงตั้งชื่อเขาว่า John (Luke: 13-16) นาย Zechariah ไม่เชื่อ Gabriel เพราะตนและภรรยาเป็นหมันและทั้งคู่ก็ค่อนข้างหงำเหงือกแล้วจะมีบุตรกับเขาได้อย่างไร ทว่าหลังจากนั้นไม่นานนาง Elizabeth ก็ตั้งครรภ์
พอนาง Elizabeth ก็ตั้งครรภ์ได้สักหกเดือน Gabriel ก็แวะมาหาญาติของ Elizabeth นั่นคือ Mary สาวพรหมจรรย์ซึ่งได้หมั้นหมายไว้แล้วกับนาย Joseph นายช่างซึ่งมีเชื้อสายมาจาก King David (กษัตริย์พระองค์ที่สองที่ปกครองอิสราเอล มีชีวิตอยู่ประมาณหนึ่งพันปีก่อนคริสตกาล) Gabriel ทักทายเธอว่าน่ายินดีจริงที่เธอเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า เธอจะตั้งครรภ์และเด็กน้อยคนนั้นจะได้เป็นใหญ่ เป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด Mary ซึ่งกำลังตกตะลึงก็ยิ่งงงงวยเข้าไปอีกว่าเธอเป็นสาวพรหมจรรย์ จะตั้งครรภ์ได้อย่างไร Gabriel ตอบว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์(The Holy Spirit) จะเสด็จลงมาบนตัวเธอ แล้วทุกอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ก็จะเป็นไปได้เองเพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าทำไม่ได้ ดูซิ ขนาดนาง Elizabeth อายุปูนนั้นแล้วยังป่องได้เลย ว่าแล้ว Gabriel ก็จากไป
ตอนที่ Gabriel นำข่าวการมาจุติของ Jesus มาบอกให้ Mary ทราบล่วงหน้านี้ ชาวคริสต์เรียกว่า "การประกาศของเทวฑูต" หรือ The Annunciation ค่ะ
3. ภาพ The Annunciation มี Gabriel กำลังบอกข่าวการมาจุติในครรภ์ของ Mary หญิงพรหมจรรย์ (ปฏิสนธินิรมล) ด้านบนที่เป็นนกเขาเป็นสัญลักษณ์ของ The Holy Spirit
The Birth of Jesus Christ: พระกำเนิดของพระเยซูคริสต์
ทางด้านนาย Joseph ไม่ได้รู้เรื่องที่ Mary ได้พบกับฑูตสวรรค์ Gabriel เลย พอรู้เข้าว่า Mary คู่หมั้นท้องป่องมาจากไหนไม่รู้ก็กระอักกระอ่วนใจ สมรับแต่งงานไปเพื่อรักษาหน้าให้ฝ่ายหญิงแต่ใจก็คิดไว้แล้วว่าว่าเสร็จงานนี้ได้หย่าแน่ๆ ทว่าทันใด Gabriel ก็มาบอก Joseph ว่าอย่าตกใจไป ครรภ์นี้เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยเดชของพระวิญญานบริสุทธิ จงเรียกเด็กคนนี้ว่า Jesus เพราะเขาจะเกิดมาเพื่อช่วยมนุษย์เพื่อให้รอดจากความผิดบาป นี่คือชะตาที่จะต้องเกิดขึ้นตามคำพยากรณ์(prophecy) ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเก่า (The Old Testament):
“The virgin will be with child and will give birth to a son, and they will call him Immanuel”—which means, “God with us.” (Isaiah 7:14)
มาถึงตรงนี้อาจงงๆว่าแล้วทำไม Jesus ไม่ได้ชื่อ Immanuel ตามที่คำพยากรณ์บอกไว้เล่า คำตอบก็คือว่า ชื่อของชาวฮีบรูว (Hebrew) เน้นความหมายที่เป็นนัยยะต่อตัวบุคคลหรือลักษณะเด่นของตัวบุคคลมากกว่าการเป็นชื่อที่เป็นคำเรียกค่ะ เช่นชื่อ Abraham แปลว่า ‘father of a multitude’ แปลว่า บิดาที่ให้กำเนิดบุตรมากมาย เพราะในประวัติศาสตร์นาย Abraham มีลูกไว้มากมายจริงๆ ถือเป็นบิดาประชากรโลกจำนวนมากชื่อ Immanuel นั้นเรายึดถือที่ความหมายที่เป็นนัยยะของ Jesus นั่นคือ ‘God with Us’ กล่าวคือ เขาจะเป็นพระเจ้าที่สถิตย์อยู่กับมนุษย์ เพราะ Jesus ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาที่เกิดมาก็ตายไป แต่เป็นพระเจ้าด้วยเช่นกัน อนึ่ง เราต้องทำความเข้าใจนิดนึงว่าทั้งพระบิดา พระบุตร และพระจิตหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเป็นสิ่งเดียวกัน(สามพระบุคคลเป็นหนึ่งเดียวกัน Jesus ก็คือ God และก็คือ The Holy Spirit ด้วย) เราเรียกว่า พระตรีเอกนุภาพ หรือ “The Holy Trinity” ค่ะ
4. The Holy Trinity เขียนเป็น diagram อธิบายว่าทั้งสามส่วนเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน
ส่วนชื่อ Jesus นั้นแปลว่า “Jehovah is salvation.” แปลว่า “พระเจ้าทรงช่วยให้พ้นบาป” เพราะ Jesus เกิดมาเพื่อไถ่ถอนบาปให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง ดังนั้นไม่ว่าจะชื่อ Immanuel หรือ Jesus ก็มีความหมายไปในเชิงเดียวกัน หมายถึงบุคคลเดียวกัน คำที่ใช้เรียก Jesus ในพระคำภีร์มีหลายคำค่ะ เช่น
- Son of God (ทรงเป็นตรีเอกานุภาพ)
- Son of Man (ทรงเป็นพระบุตรมาเกิดในร่างมนุษย์)
- Son of David (ทรงสืบเชื้อสายมาจาก King David ดังที่กล่าวไปแล้ว)
- Lamb of God (ทรงเป็นเครื่องสังเวยของพระเจ้าเพื่อไถ่บาปให้มนุษย์
- Christ/ Messiah (ทรงเป็นผู้ที่ถูกเลือก “Anointed One”)
- Savior (ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด)
- Alpha and Omega (ทรงเป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบของทุกสรรพสิ่ง)
- King of Kings/ Lord of Lords (ทรงเป็นราชาเหนือราชาทั้งปวง)
สังเกตว่าทุกคำที่หมายถึง Jesus, God และ Holy Spirit จะใช้ capital letters ทั้งหมดนะคะ เพราะเป็นการให้เกียรติและถือว่าพระตรีเอกนุภาพมีเพียงหนึ่งเดียว สำหรับชาวคริสต์พระตรีเอกนุภาพเป็นสิ่งศักสิทธ์ เราจึงไม่ควรกล่าวพระนามเล่นอย่างเลื่อนลอย ใช้เป็นคำอุทาน หรือนำมาสบถ (Blaspheme) แม้ด้วยความคึกคะนองนะคะ
The Birth of Jesus: พระกำเนิดของพระเยซู
ครั้งนั้น Caesar Augustus มีรับสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัว(census)ทั่วเขตการปกครองของ Roman ผู้คนต่างก็ต้องไปขึ้นทะเบียนยังเมืองของตน Joseph ซึ่งเป็นวงศ์วานของ King David ก็ต้องไปที่เมือง David พร้อมคู่หมั้นตน นาง Mary ซึ่งขณะนั้นท้องแก่เต็มที เวลาอย่างนี้ทุกโรงแรมในเมืองก็เต็มหมด เมื่อถึงกำหนดจึงประสูติบุตรชายในรางหญ้าในโรงเลี้ยงแกะแห่งหนึ่งในเมือง Bethlehem
แล้วฑูตสวรรค์องค์หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้ากลุ่มคนเลี้ยงแกะในทุ่งนา ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนแต่กลับสว่างไปด้วย aura ของฑูตสวรรค์องค์นั้นซึ่งได้กล่าวบอกแก่คนเลี้ยงแกะว่า คืนนี้มีข่าวดีเพราะพระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลายได้มาบังเกิดแล้ว พลันก็มี angels มาร่วมวงร้องสรรเสริญว่า
“Glory to God in the highest, and on earth peace to men on whom his favour rests.”
(แปล)
“พระศิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนบนพื้นโลก สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานนั้น” (Luke 2: 14)
5. การปรากฎตัวของทวยฑูติสวรรค์
คนเลี้ยงแกะเหล่านั้นจึงเข้าไปที่โรงเลี้ยงแกะ ก็พบ Mary และทารกน้อยดังที่ฑูตสวรรค์ได้บอกไว้ จึงพากันเข้าไปสรรเสริญทารกนั้น
6. ฉากสำคัญของ Nativity พระคริสต์ได้มาบังเกิดแล้วในรางหญ้า การประสูติในหญิงสามัญชนนี้แสดงให้เห็นว่าทรงมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนทุกวรรณะ
The Visit of the Magi: พวกโหราจารย์เข้าเฝ้าพระกุมาร
Jesus ได้ประสูติที่เมือง Bethlehem แคว้น Judea ในรัชสมัยของ King Herod I หรือ Herod the Great (73-74 ปีก่อนคริสตกาล) เมื่อประสูติแล้วก็มีพวกโหราจารย์จากทางตะวันออก(wise men) หรือเรียกว่า Magi (ไม่ใช่ซ้อสถั่วเหลือง) เดินทางมาที่กรุงเยรูซาเล็มและถามหาว่า “กุมารผู้ที่บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน” เหตุที่มาก็เพราะ Magi ทั้งสามได้แลเห็นดวงดาวสุกสว่างทางทิศตะวันออกจึงออกเดินทางมาตามหาดาวดวงนั้นเพื่อนมัสการ
7. Herod the Great
8. Magi ออกเดินทางหาดาวสุกสว่างดวงนั้น
ทว่าเมื่อ Herod I ได้ทราบเรื่องเข้าก็วุ่นวายพระทัยเกรงว่าชะรอยทารกน้อยนี่จะมีดวงเป็นผู้นำชาวยิวมาทำการปฏิวัติล้มล้างบัลลังก์ตนหรือเปล่า จึงประชุมปรึกษาบรรดามหาปุโรหิตและได้ความว่าตามคำทำนายของผู้เผยพระวัจนะนั้นเด็กคนนี้มีดวงเกิดมาเป็น “the shepherd of my people Israel” (Mathew 2:6) แปลเป็นนัยว่าจะกลายเป็นผู้นำชนชาติอิสราเอลซึ่งเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกแล้วนั่นเอง Herod I จึงออกอุบายหลอกใช้ Magi ว่าหากพบทารกดังกล่าวขอให้บอกตนด้วย จะได้ไปขอนมัสการด้วยคน แต่พวก Magi รู้ทันเล่ห์เหลี่ยม เกรงว่าทารกน้อยจะถูกอุ้มฆ่า เมื่อได้พบทารกแล้วจึงไม่ได้ส่งข่าวให้ Herod I รับรู้
Magi ทั้งสามได้ให้ของกำนัลแก่ทารกน้อยคนละชิ้นเป็นเครื่องบรรณาการ คือทองคำ(gold) กำยาน(frankincense) และมดยอบ(myrrh) ของทั้งสามชิ้นมีนัยยะสำคัญทางความหมาย กล่าวคือ gold เป็นสัญลักษณ์ของความดีงาม ความบริสุทธิ์สูงค่า ส่วน frankincense นั้นมีความหมายเชื่อมโยงกับพิธีกรรมและการอธิษฐาน และ myrrh เป็นของหอมที่ชาวอิสราเอลใช้ในพิธีศพ ถือเป็นสัญลักษณ์ของความตายและความโศกเศร้า ของกำนัลทั้งสามชิ้นเป็นเสมือนตัวแทนของสิ่งที่ Jesus จะต้องเผชิญในภายภาคหน้า นัยว่าพระองค์เป็นบุคคลสูงค่าที่เกิดมาเพื่อตายเพื่อมวลมนุษย์ทั้งปวงนั่นเอง
9. The Adoration of Magi หรือ The Visit of the Wisemen
The Escape to Egypt: การประหารทารก
เมื่อพวก Magi กลับไปแล้ว ฑูตสวรรค์ก็ได้ปรากฏกายขึ้นเพื่อเตือน Joseph ให้พาภรรยาและทารกน้อยหนีไปอียิปต์ เพราะ Herod I กำลังตามล่าทารกนี้อยู่ ทั้งครอบครัวเลยต้องลี้ภัยไปอยู่ในเขตอันปลอดภัยในประเทศอียิปต์ ขณะนั้น Herod I รู้ตัวว่าถูก Magi เบี้ยวเสียแล้วก็โกรธมาก สั่งฆ่าทารกเพศชายในเขต Bethlehem และดินแดนใกล้เคียงทั้งหมดไม่ให้มีเหลือ (The Massacre of the Innocents)
ส่วน Joseph และครอบครัวเก็บตัวอยู่ในอียิปต์จน Herod I สวรรคต ฑูตสวรรค์จึงมาบอกให้กลับไปอิสราเอลได้ ทว่าขณะนั้น Herod Archelaus โอรสของ Herod I ได้ปกครอง Judea อยู่ ด้วยความไม่มั่นใจในความปลอดภัย Joseph จึงพาครอบครัวไปอยู่ที่ Galilee ในเมือง Nazareth แทน
John the Baptist Prepares the Way: ยอห์นผู้ให้รับบัพติสมามาประกาศ
John the Baptist ลูกของนาง Elizabeth ที่เกิดก่อน Jesus หกเดือน (คงยังจำได้นะคะ) และเป็นผู้ที่ชะตากำหนดมาให้เกิดก่อนเพื่อทำพิธีสำคัญให้กับ Jesus นั่นคือ บัพติสมา หรือ ศีลจุ่ม(Catholic เรียกว่า ศีลล้างบาป ซึ่งเป็นการใช้น้ำชะระล้างบาปกำเนิด และเป็นการแสดงตัวว่าได้เข้าเป็นสมาชิกของศาสนจักรแล้ว สมัยนี้บางโบสถ์ก็จะใช้น้ำพรมที่ศีรษะ บางโบสถ์ก็ให้จุ่มลงในน้ำไปทั้งตัวเหมือนการรับบัพติสมาจาก John ในแม่น้ำจอร์แดน) ขณะนั้น John ได้ประกาศแก่ผู้คนที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้าว่า “จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” ชาวบ้านแถบลุ่มน้ำจอร์แดนต่างก็ออกมาหา John เพื่อสารภาพความผิดบาป และรับบัพติสมาจากจอห์นในแม่น้ำจอร์แดนนั่นเอง แล้ว John ผู้รู้ลิขิตชะตาก็ได้ประกาศแก่ผู้คนว่า
10. John the Baptist
“I baptize you with water for repentance. But after me will come one who is more powerful than I, whose sandals I am not fit to carry. He will baptize you with the Holy Spirit and with fire.” (Mathew 3: 11)
(แปล)
“เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติสมาด้วยน้ำ แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่ควรแม้จะถอดฉลองพระบาทพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ”
The Baptism of Jesus: พระเยซูทรงรับบัพติสมา
แล้ว Jesus ก็เดินทางมาจาก Galilee เพื่อมารับบัพติสมา แต่ John ผู้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดารู้สึกเป็นการมิบังควรที่เขาจะอาจเอื้อมให้บัพติสมาแก่ Jesus ทว่า Jesus ก็ว่าทำไปเถิด มันเป็นสิ่งที่ชอบธรรมแล้ว เมื่อ Jesus รับบัพติสมาแล้วท้องฟ้าก็เปิดออก และ Jesus ก็เห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกเขา ลงมาสถิตย์อยู่บนพระองค์ และมีเสียงตรัสจากสวรรค์ว่า “This is my Son, whom I love; with him I am well pleased.” (Mathew 3: 17)
11. The Baptism of Jesus ณ แม่น้ำจอร์แดน
และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวชีวประวัติของ Jesus ค่ะ ต่อไปนี้ทุกครั้งที่ Christmas Eve มาเยือน นอกจากเราจะรู้ว่าใครเป็นใครใน The Nativity ที่ทางโบสถ์หรือตามร้านค้านำมา display แล้วเราก็คงเข้าใจถึงความซาบซึ้งของชาวคริสต์ในฐานะที่เป็นวันที่ศาสดามาจุติเพื่อความรอดของมนุษย์ทั้งปวงแล้วนะคะ
Merry Christmas ค่ะ
References:
- Holy Bible. The Gideons International in the British Isles. Leicester; n.d.
- Thai Holy Bible. Thailand Bible Society. Bangkok; 1998 http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums/http/www.pantip.com/cafe/library/topic/K2869777/K2869777.html
- http://carm.org/questions/about-jesus/jesus-name-immanuel-or-jesus
- http://www.facingthechallenge.org/gospels.php
- http://www.jesusanswers.com/bible/names.htm
- http://www.churchyear.net/stjoseph.htm
Photo Courtesy:
1.http://www.catholicfaithstore.com/Store/Products/Item/-73/1/Antique-Silver-Nativity-Set-4-inches-high_7894.html?MO=Y
2.http://www.historyofscience.com/G2I/timeline/index.php?category=Religious+Texts+%2F+Religion
3.http://www.saint-max.org/rosary/annunciation_opt.jpg
4. http://atschool.eduweb.co.uk/carolrb/christianity/christian_beliefs.html
5.http://www.turnbacktogod.com/birth-of-jesus-christ/
6.http://pepdoh.org/NEWSLETTER%20NOV_DEC_%202008.htm
7.http://www.telegraph.co.uk/news/uknews/1550943/Tomb-of-King-Herod-discovered-in-West-Bank.html
8.http://pepdoh.org/NEWSLETTER%20NOV_DEC_%202008.htm
9. http://commons.wikimedia.org/wiki/File:The_visit_of_the_wise-men.jpg
10.http://www.saint-max.org/rosary/baptism_of_jesus_opt.jpg
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น