วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Gargoyles, Grotesques และ Chimeras


1. Gargoyle กำลังระบายน้ำขณะฝนตก
2. Gargoyle รูปมังกรจาก St. Vitus Cathedral/ Czech Republic


Gargoyle (การ์กอยล์) เป็นรูปปั้นตัวประหลาด เป็นสัตว์สามัญบ้าง มังกรบ้าง สัตว์ผสมบ้าง คนบ้าง ระบุ species ไม่ได้บ้าง มักมีหน้าตาตลก ประหลาด หรือถึงขั้นน่าเกลียดน่ากลัว เราพบเห็นพวกมันได้ตามแนวรางน้ำหรือผนังด้านนอกของอาคารหรือวิหารเก่าๆสมัยยุคกลาง

ในทางสถาปัตยกรรม gargoyles เป็นรูปปั้นสไตล์ Gothic (ศิลปกรรมยุคกลาง มีลักษณะมืดๆ อึมทึม ลึกลับ ผีหลอก ทว่าสง่างาม ดังที่เคยกล่าวถึงในบทก่อนๆ ) gargoyles ใช้เพื่อการตกแต่งอาคาร (ornaments) บรรดาอาคารก่ออิฐหรือหินสมัยก่อนถ้าพอมีงบประมาณมาละเลียดกับรสนิยมผู้สร้างเสียหน่อยก็จะให้สถาปนิกรวมร่างเจ้า gargoyles ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับช่องระบายน้ำฝนที่ยื่นออกมานอกตัวอาคาร (draining spouts) หรือจากแนวระเบียงอาคาร เพื่อช่วยควบคุมทิศทางการระบายน้ำฝนที่ตกลงมาให้พุ่งออกไปให้ไกลจากตัวอาคาร น้ำฝนจะได้ไม่ไหลมั่วซั่วกระจายไปชะแนวร่องอิฐ (mortar) และจะได้ไม่ชะพื้นบริเวณรอบอาคารให้สึกกร่อนเร็วจนเกินไป

คำว่า gargoyle มาจากคำว่า ‘gargouille’ (การ์กุย) ในภาษาฝรั่งเศส แปลว่า คอหอย หรือหลอดอาหาร (gullet ในภาษาอังกฤษ) คำนี้ยังสอดคล้องกับคำกริยาภาษาฝรั่งเศส ‘gargariser’ หรือ gargle ในภาษาอังกฤษ แปลว่า กลั้วคอ นั่นเอง เวลาฝนตกน้ำฝนก็จะรวมตัวกันไหลพุ่งออกมาจากปากของ gargoyles ราวกับว่าพวกมันกำลังกลั้วน้ำฝนบ้วนลงพื้นมาอย่างน่ารักน่าชังนั่นเอง



ตำนานกล่าวว่า ครั้งหนึ่งมีมังกรคอยาวและบินได้ชื่อเจ้าการ์กุย (La Garguille สันนิษฐานว่าได้ชื่อนี้มาเพราะเสียงกลั้วน้ำกลั้วไฟในลำคอของมัน) มันทำตัวชั่วร้ายพ่นไฟพ่นน้ำทำลายหมู่บ้านและรังควาญผู้คนในแคว้น Rouen (รูออง) ในฝรั่งเศส ชาวบ้านต้องคอยหานักโทษหรือหญิงสาวพรหมจรรย์มาเซ่นสังเวยให้กับมันเพื่อแลกกับความสงบสุข จนกระทั่ง Saint Romanus (เดิมเป็น Bishop of Rouen ที่ปรึกษาของ Clotaire II กษัติรย์ราชวงศ์ Merovingian มีชีวิตอยู่ในช่วงต้น-กลาง ค.ศ. 600) รับปากว่าจะช่วยกำจัด La Gargouille ให้หากชาวบ้านตกลงยอมนับถือศาสนาคริสต์ สร้างโบสถ์ และรับศีลจุ่มเสียให้เป็นเรื่องเป็นราว (be baptized) เมื่อชาวบ้านตกลง Saint Romanus ก็ใช้กางเขน (crucifix) สะกดเจ้า Gargouille และได้จัดการเผาทำลายมัน ทว่าช่วงหัวถึงคอของ La Gargouille ไม่ยอมมอดไหม้ไปด้วย จึงถูกนำไปหลอมเข้ากับกำแพงโบสถ์เพื่อเอาไว้ขู่วิญญาณชั่วร้าย และเป็นการประกาศศักดาว่าสัตว์ร้ายตัวนี้ได้สยบต่ออำนาจของพระผู้เป็นเจ้าของคริสตศาสนาแล้ว ชาวบ้านที่ไร้ศาสนา (pagans) ก็จะได้บังเกิดความศรัทธาและยอมรับศาสนาใหม่ได้ การ์กุยติดผนังหัวนี้กลายเป็น model สำหรับ gargoyles ที่อยู่ตามโบสถ์วิหารในรุ่นหลัง โดยเฉพาะในยุคกลาง สถานที่ๆมี gargoyles อยู่มากน่าดูชมแห่งหนึ่งก็คือมหาวิหาร Notre Dame de Paris

3. หน้าต่างกระจกสี (stained glass window) แสดงภาพ Saint Romanus กำลังปราบ La Gargouille





4. แนว gargoyles ที่เรียงรายทำหน้าที่ระบายน้ำยามฝนตกที่ Notre Dame de Paris

เมื่อกาลเวลาผ่านไป gargoyles ก็มีมากหน้าหลายตาขึ้น ไม่ได้มีแต่แค่มังกรคอยาวอย่างเดียว แต่เป็นสัตว์สามัญต่างๆ หรือสัตว์ประหลาดไปเลยก็มี สำหรับรูปสัตว์ นิยมใช้สัตว์ที่มีนัยยะทางคริสตศาสนาได้แก่สัตว์ที่เป็นตัวแทนบาปหนักเจ็ดประการ (The Seven Deadly Sins) ได้แก่
สิงโต แทนความยะโส (pride)
งูเห่า แทนความอิจฉาริษยา (envy) ดังเช่นงูเห่าซาตานที่อิจฉามนุษย์จนมาล่อลวงอีฟและนายอดัม
หมูป่า แทนความโกรธแค้น (anger)
ลา หรือลิง แทนความเฉื่อยความขี้เกียจ (sloth)
หมาป่า แทนความละโมภ (greed)
หมี แทนความตะกละ (gluttony)
หมู หรือแพะ แทนความร่านราคะ (lust)



5. Gargoyle หมูป่า (ข้างๆเป็นชายเลี้ยงแกะ) ที่ St. Barbara's Cathedral/ Czech Republic
6. Gargoyle แพะที่ Notre Dame de Paris

อันที่จริง gargoyles หรือตัวระบายน้ำนี้มีใช้กันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณไม่ใช่แค่ในยุโรป ก่อนยุคกลางมีการพบซาก gargoyles ในอาฟกานิสถาน กรีก และเอธิโอเปีย ทำจากหินแกะสลักเป็นรูปต่างๆและมีรูเพื่อระบายน้ำฝน เทคโนโลยีการระบายน้ำฝนออกจากอาคารนี่ก็มีมานานแล้วทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออก



7. Gargoyles โบราณที่ไม่ใช่สัญชาติยุโรป
8. Japanese gargoyles ที่วัด Daitokuji ญี่ปุ่น
9. รางระบายน้ำรูปหัวห่านที่ Changdeokgung Palace กรุงโซล เกาหลีใต้



ในปัจจุบันเราใช้ท่อพีวีซี อลูมิเนียม (aluminum) สเตนเลส (stainless) หรือไวนิล (vinyl) ต่อรางน้ำเพื่อระบายน้ำฝนให้ลงมาตามท่อที่ต่อสู่พื้นอย่างนุ่มนวล ถ้าเราไม่ได้ประดับรูปปั้น gargoyle เราก็เรียกมันว่า draining spout, waterspout หรือ gutter ก็พอนะคะ

10. รางระบายน้ำไวนิลในปัจจุบัน


สำหรับตัวประหลาดหน้าตาน่าเกลียดที่พบเห็นเคียงคู่กับ gargoyles แต่ไม่ได้ทำหน้าที่พ่นน้ำตอนฝนตกนั้น ในทางเทคนิคเราเรียกพวกนี้ว่า grotesques (อ่านว่า ‘โกรเทสเกอะ’ แปลว่าอัปลักษณ์แบบขนลุกซู่) แต่สมัยนี้คำว่า gargoyles กับ grotesques มีความหมายทับซ้อนไปเสียแล้วเพราะถือว่าอย่างไรเสียก็เป็นตัวอัปลักษณ์นอกกำแพงเหมือนๆกัน เจ้าพวก grotesques นี้ชื่อก็บอกอยู่แล้ว จะอัปลักษณ์จนน่าขันหรือน่ากลัวก็แล้วแต่จินตนาการของคนปั้นจะรังสรรค์ ดูภาพกันเอาเองดีกว่า


11. Grotesques น่ารักน่าชังที่ Oxford University, UK

ส่วนเจ้า Chimera (อ่านว่า ‘ไคเมร่า’ ไม่ใช่ ‘ชิมิร่ะ’) จะว่าไปก็คือ grotesques ประเภทหนึ่ง แต่ลักษณะเฉพาะคือจะเป็นสัตว์ผสมอย่างน้อยสอง species ขึ้นไป เช่น griffins (ตัวเป็นสิงห์มีปีกอันแข็งแกร่งเหมือนนกอินทรีย์), harpies (ครึ่งบนเป็นหญิงสาว มีปีก ครึ่งล่างทั้งหมดเป็นนก) และ mermaids (ครึ่งบนเป็นหญิงสาว ครึ่งล่างเป็นปลา) แต่เดี๋ยวนี้ chimeras ก็ครอบคลุมไปถึง grotesques ที่เป็นสัตว์ประหลาดอื่นๆได้เช่นกัน หน้าที่ของเหล่า grotesques และ chimeras ก็คือการเฝ้ายาม คุ้มกันมิให้มีวิญญาณชั่วร้ายมาแผ้วพานอาคาร grotesques ที่อลังการงานสร้างน่าไปดูก็คงไม่พ้นที่มหาวิหาร Notre Dame de Paris พวกมันนั่งเฝ้าอยู่บนระเบียงชั้นบน ชะโงกหัวออกไปมองผู้คนที่ผ่านไปมา บ้างก็ว่าตกกลางคืนพวกมันก็ออกบินสำรวจเมืองให้อีกต่างหาก


12. เหล่า chimeras บน Notre Dame de Paris

สำหรับคนรัก gargoyles และ grotesques ก็ไม่ต้องห่วงว่าพวกมันจะสูญพันธุ์ไปตามกาลเวลาเพราะร้านค้าเอาใจผู้มีรสนิยมโกธิคทั้งหลายได้ผลิต gargoyles แบบโมเดิร์นที่ทำจากวัสดุราคาไม่แพง สามารถเอามาใช้เป็นรางน้ำได้จริง หรือจะเอามาประดับน้ำพุก็ยังได้


13. ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้คลั่งไคล้ gargoyles

นอกจากนี้อาคารสมัยใหม่บางแห่งก็สร้างเลียนแบบศิลปกรรมโกธิคแถมยังได้ปรับแต่งให้ gargoyles และ grotesques มีรูปลักษณ์เข้ากับยุคสมัยเสียด้วยเช่น



14. Gargoyles หัวนกอินทรีย์ทำจาก stainless steel ที่ Chrysler Building, New York City

15. Gargoyle หัว Darth Vader เป็นตัวแทนความชั่วร้าย ผลงานออกแบบได้รางวัลที่สามของเด็กน้อยจาก Nebraska แกะสลักไว้ที่ Washington National Cathedral

16. Grotesque ตัวนี้ใส่แว่นอ่านหนังสืออยู่ที่ City College บนถนน 137 ใน New York

17. และสุดท้าย...โถฉี่ gargoyles กลั้วน้ำกันให้อร่อยไปเลย เอื๊อกส์









References:

http://en.wikipedia.org/wiki/Gargoyle

http://www.mythicalrealm.com/creatures/gargoyle.html

http://www.notredamedeparis.fr/Gargoyles-and-Chimera

http://gottesblog.blogspot.com/2007/03/legend-of-gargoyle.html

http://www.ponddoc.com/WhatsUpDoc/Statuary/Gargoyle.html

http://historyiselementary.blogspot.com/2010/01/13-gargoyles-grotesques-and-chimerasoh.html

http://weburbanist.com/2009/11/15/gargoyles-from-gothic-garglers-to-grotesque-guardians/





Photo Courtesy (in numerical order)


1. http://3.bp.blogspot.com/_st-nYVIHAHw/R-xSaH7omDI/AAAAAAAAABU/y5f2A7TEKMY/s1600-h/garg+water.bmp


2. http://www.richard-seaman.com/Travel/CzechRepublic/Highlights/index.html

3.
http://www.vernon-visite.org/colleg/info/info7.htm

4.
http://commons.wikimedia.org/wiki/File:Gargoyles_(Notre-Dame_de_Paris_-_South_Fa%C3%A7ade).jpg

5.
http://www.rutlandguttersupply.com/blog/CategoryView,category,gargoyleRoofScupper.aspx

6. http://www.flickr.com/photos/8040300@N05/2352816263

7.
http://weburbanist.com/2009/11/15/gargoyles-from-gothic-garglers-to-grotesque-guardians/

8. http://www.danhagerman.com/JapanPhoto7.htm

9. http://citycritics.blogspot.com/2007/04/blog-post_1974.html

10. http://www.plazathai.com/show_pic.php?img=38f1723174419dc970288e826833fc25.jpg

11. http://www.pbase.com/ekchua/oxford_city_gargoyles

12. left: http://www.2idiotsinaboat.com/pilgrim/archives/2002_04.html
middle: http://www.travelblog.org/Photos/453043
right: http://www.dailyventure.com/journal.php?day=NotreDame

13. left: http://inventorspot.com/articles/design_a_gargoyle_goes_with_everything_15626
right:http://www.rutlandguttersupply.com/blog/2009/08/28/GargoyleRainSpoutRoofScupper.aspx
14. http://www.waymarking.com/waymarks/WM3M4P_Chrysler_Building_New_York

15. http://weblog.sinteur.com/index.php/2007/03/30/darth-vader-is-watching-you-from-the-washington-national-cathedral/

16. http://ephemeralnewyork.wordpress.com/category/upper-manhattan/

17. http://www.aigoo.com/category/fun/

วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Elizabeth Bathory เจ้าของฉายา ‘Countess Dracula’

พูดถึง Vlad III ต้นแบบท่าน Count Dracula ไปแล้วก็เลยอดนึกถึงเธอคนนี้ไม่ได้ เพราะมีกิตติศัพท์กระฉ่อนเรื่องซาดิสเลือดสาดเหมือนกัน แถมเป็นเชื้อสายขุนน้ำขุนนางราชนิกูล (nobility) เหมือนกัน แล้วยังอยู่ในประเทศใกล้ๆกันอีกด้วย

Elizabeth Bathory (Erzsébet Báthory ค.ศ. 1560-1614) เกิดในตระกูลอภิมหามั่งคั่งพร้อมด้วยสายเลือดขัตติยะจากท่านตา Stephen Bathory (หรือ Báthory István ในภาษา Hungarian) ซึ่งได้ไต่เต้าตามลำดับจาก Prince of Transylvania เป็น King of Poland และที่สุดคือเป็น Grand Duke of Lithuania



สาวน้อย Elizabeth ใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทของครอบครัวที่ Hungary และได้แต่งงานกับท่าน Count Ferencz Nadasdy เมื่ออายุได้ 15 ชันษา สาวน้อยจึงได้รับบรรดาศักดิ์เป็นท่าน Countess Elizabeth Bathory Nadasdy และได้ครอบครองปราสาท Csejte (หรือ Nadasdy Cachtice Castle ซึ่งเดิมอยู่ในดินแดนของ Hungary แต่ตอนนี้เป็นของ Slovakia แล้ว) พร้อมด้วยหมู่บ้านแถบนั้นประมาณว่าเป็นของขวัญแต่งงานจากท่านสามี


(ซ้าย: Ferenc Nadasdy ขวา: ซากปราสาทที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน)

ทว่าแต่งงานแล้วท่านสามีก็มิได้มีเวลาให้ Elizabeth สักเท่าไหร่เพราะต้องคอยออกรบกับพวกออตโตมานเติร์กอยู่บ่อยๆ (กระนั้นก็ยังอุตส่าห์มีบุตรธิดาร่วมกันได้ถึงหกพระองค์ เสียชีวิต/ ทิวงคตไปสองพระองค์ ) ข่าวเล่าข่าวเม้าท์ว่า Elizabeth เองก็ทรงแอบเหงา บ้างก็ว่า Elizabeth ใจแตกเคยท้องมาก่อน แอบคลอดลูกแล้วก็มาแต่งงานกับท่าน Count แถมเป็นพวกลักเพศอีกต่างหาก จึงลักลอบเป็นชู้กับชาย(อาจมีหญิงด้วย)หลากหน้าหลายตาแม้แต่กับชาวไร่ชาวนาแถวนั้น แต่พฤติกรรมส่วนพระองค์นี้ไม่มีหลักฐานสนับสนุนที่ชัดเจนเพราะเป็นเพียงปากคำของชาวบ้านสมัยนั้นที่ลงหลุมกันไปหมดแล้ว แต่เรื่องลักลอบเป็นชู้ของ Countess นั้นว่าไปเป็นเพียงเรื่องจิ๊บๆมากหากเทียบกับสิ่งที่ท่านหล่อนได้กระทำจนดังกระฉ่อนในเวลาต่อมา

ตั้งแต่ประมาณช่วงปีค.ศ. 1585-1610 เด็กสาวสดๆซิงๆทั้งลูกหลานชาวไร่ชาวนา (peasants) และลูกหลานผู้ดีมีตระกูล (gentries) ได้รับเชิญจากท่าน Countess ให้มาทำงานในวังบ้าง อบรมมารยาทชาววังบ้าง ทว่าก็ไม่เคยมีผู้ใดได้กลับออกมาอีกเลย ไปๆมาๆก็มีผู้พบเห็นเด็กสาวถูกลักพาตัวเข้าวังก็มี คุณพ่อคุณแม่ญาติโกโหติกาทั้งหลายเริ่มเห็นพิรุธ แรกๆก็ไม่มีผู้ใดกล้าปริปากพูดเพราะท่าน Countess เป็นผู้สูงศักดิ์บารมีหนาแน่นเป็นที่ยำเกรง แถมยังมี power ในการปกครองเต็มที่เพราะสามีไม่ค่อยได้อยู่คุมเชิงด้วย แต่ต่อมานานวันเข้าก็เริ่มอดรนทนไม่ไหวกับพฤติกรรมลึกลับนี้จึงเรียกร้องให้มีการสืบสวนดำเนินคดี

เรื่องราวอันฉาวโฉ่โลกลืมไม่ลงของ Countess Bathory จึงเริ่มเปิดเผยขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1610 เมื่อกษัตริย์แห่งฮังการี King Matthias ได้รับรายงานว่ามีเด็กสาวหลายคนถูกขัง ทรมาน และถูกฆ่าตายในปราสาท จึงส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นและจับกุมท่าน Countess พร้อมลูกมือที่ร่วมทำการโฉด (accomplices) อีก 3 คน


จากการไต่สวนคดีพบว่า เด็กสาวที่ถูกล่อลวงมานั้นถูกนำไปทรมานอย่างโหดเหี้ยม มีทั้งถูกทุบตีจนตาย ถูกเผาหรือตัดแขนขา ใบหน้า หรืออวัยวะเพศ ถูกกัดจนเนื้อหลุด ถูกนำไปผ่าชำแหละ ถูกคุกคามทางเพศ และถูกปล่อยให้หนาวหรือหิวตาย ในช่วงเวลาเพียงยี่สิบกว่าปีพบว่าจำนวนสาวๆที่ถูกฆ่าตายไปนั้นสิริรวมทั้งสิ้นก็ประมาณ 600-650 ชีวิตเลยทีเดียว


แล้วอะไรบันดาลบันดลใจให้ท่าน Countess ผู้สูงศักดิ์ทำการอำมหิตผิดมนุษย์ได้ขนาดนั้น


หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราวของ Countess Elizabeth Bathory จากหนัง ละคร หรือตำนานเรื่องเล่าซึ่งก็จะนำเสนอท่าน Countess ในลักษณะว่า Countess เป็นสาวสวยมากก็เลยหมกมุ่นอยู่กับการทำสวยจนเป็นโรคจิต และสิ่งที่หญิงสาวทุกคนไม่ว่าจะสวยหรือไม่สวยถวิลหาก็คือความอ่อนเยาว์หน้าเด้งแม้กาลเวลาจะผ่านผันไปสักกี่พันปี เม้าท์ซี่กันว่า Countess เองมีนิสัยถูกสปอยล์แต่เด็ก จึงก้าวร้าว เจ้าอารมณ์และมักพาลเหวี่ยงใส่สาวใช้ วันหนึ่งท่านหล่อนไม่พอใจอะไรมาก็ไม่รู้จึงหยิบแส้ฟาดสาวใช้แสนซวยนางหนึ่งจนเลือดสาดกระเด็นมาโดนผิวกายของตัวเอง เมื่อท่านหล่อนล้างเลือดออกก็บังเกิดอุปาทานมหัศจรรย์ว่าผิวพรรณส่วนที่โดนเลือดนั้นมีลักษณะเปล่งปลั่ง สดใสกว่าส่วนอื่น ท่านหล่อนจึงได้ไอเดีย สั่งให้เอาสาวใช้ที่มีอยู่ในวังมารีดเลือดลงอ่าง เพื่อที่ท่านหล่อนจะได้ลงไปนอนแช่อาบทั้งตัว (bloodbath) จะได้เปล่งปลั่งตั้งแต่ปลายผมจรดปลาบเล็บเท้า เมื่อสาวใช้ในวังเริ่มขาดแคลนจึงไปล่อลวงเอาเด็กสาวของชาวบ้านและลูกหลานผู้ดีก็ไม่เว้น จนได้พระฉายานามว่า ‘Bloody Lady of Čachtice’ จุดนี้เองคือจุดขายของตำนานและละคร ว่ากันว่าท่าน Countess คนนี้แหล่ะที่เป็นผู้ดัดแปลงเครื่องมือรีดเลือดสาว ‘Iron Maiden’ (Eiserne Jungfrau) โดยให้ชื่อกับมันว่า ‘Iron Virgin’

Iron Maiden เป็นเครื่องทรมานนักโทษ (torture device) ลักษณะเป็นเหมือนโลงหรือกล่องรูปคนแนวตั้งที่มีเหล็กแหลม (spikes) หรือมีดปลายแหลม (pointed knives) หรือตะปู (nails) กระจายอยู่ทั่ว เวลาใช้งานก็ใส่นักโทษเข้าไป ค่อยๆปิดฝาให้เหล็กแหลมเหล่านั้นค่อยๆทิ่มแทงทั่วทั้งร่างอย่างทรมานทรกรรม หรือหากปิดฝาตูมเดียวเลยเหล็กแหลมก็จะเสียบนักโทษจนเลือดสาดและพรุนทั้งยืน เครื่องมือชิ้นนี้น่าจะเป็นเครื่องมือสมัยยุคกลาง มูลเหตุที่ชื่อ Iron Maiden ไม่ใช่เพราะเอาไว้ลงทัณฑ์สาวพรหมจรรย์ แต่เพราะลักษณะประติมากรรมของเครื่องมือสะท้อนอิทธิพลศิลปะและความเชื่อยุคกลาง (Gothic Style) คือฝาปิดโลงนั้นเป็นรูปทรงของ Virgin Mary คุณแม่ของ Jesus Christ (maiden = virgin หรือสาวพรหมจรรย์) แต่กระนั้นอันที่จริงก็ยังไม่เคยมีการค้นพบ Iron Maiden ที่มีอายุเก่าแก่ไปกว่าศตวรรษที่ 18 เลย และส่วนที่ได้พบเจอก็ไม่รู้ชัดว่าได้เคยใช้จริงหรือเปล่า หรือว่าทำไว้เป็นเครื่องขู่เฉยๆ สำหรับ ‘Iron Virgin’ ของ Countess Bathory นี่จะเป็นรูปทรงของ Virgin Mary ด้วยหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่คงเอาไว้รีดเลือดสาวซิงมาอาบเอาสวยตามตำนาน

Countess Bathory สังเวยชีวิตสาวๆเพื่อความงามส่วนตัวจริงหรือไม่ ไม่ได้มีบันทึกไว้เป็นเรื่องเป็นราวในเอกสารประวัติศาสตร์ บรรดานักประวัติศาสตร์สันนิษฐานกันว่า Countess อาจมีปัญหาทางจิตในลักษณะหมกมุ่นกับรูปโฉมของตนมากเกินไปเนื่องจากเกิดมาในตระกูลมีอันจะกิน มีของสวยงามใช้ตลอดเวลา พอเริ่มแก่ตัวลงก็เลยวิตกจริตโรคจิตมากขึ้น บ้างก็ว่า Countess เองอาจมีปัญหาทางจิต (psychological disorder) ตั้งแต่เกิดอันเนื่องมาจากการสืบเชื้อสายในวงศาคณะญาติ (inbreeding) และด้วยสภาพครอบครัวที่เป็นชนชั้นปกครองทำให้คุ้นชินกับการใช้ความรุนแรงในการบริหารและการลงทัณฑ์ ท่านสามีก็เป็นนักรบ ก็เลยคุ้นชินกับการฆ่าฟันทรมานนักโทษชาวเติร์ก


เหล่าสมุนผู้ช่วยประกอบการโฉดทั้งสามได้รับการพิพากษาในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1611 ให้ประหารชีวิตทันที เพราะคดีนี้จัดว่าเป็นการฆาตรกรรมต่อเนื่อง (serial killing) และสังหารหมู่ (mass murder) สมควรแก่โทษหนักถึงตายแน่นอน สำหรับท่าน Countess เนื่องจากมีเลือดขัตติยะ ตระกูลสูงศักดิ์อยู่ lobby การเมืองกันอย่างเนียนๆ ทีแรก Countess จึงแค่ถูกกักบริเวณ (house arrest) และภายหลังการพิพากษาแทนที่จะได้ตายตกไปตามเหล่าผู้รับใช้ โทษจึงลดลงมาเป็นการจองจำตลอดชีวิตในห้องปิดตายเล็กๆไร้หน้าต่างบนหอคอยในปราสาทของตัวเอง (solitary confinement) แต่ละวันจะมีรูเล็กๆเปิดออกเพื่อส่งข้าวส่งน้ำเท่านั้น ไม่รู้เป็นบุญหรือกรรมทำให้ Countess สามารถใช้ชีวิตมืดๆเงียบๆคนเดียวแบบนั้นได้ยาวนานถึง 4 ปีจึงค่อยลาโลกไปแบบเงียบๆคนเดียวในห้องนั้นเอง

แม้ท่าน Countess จะกลายเป็นเพียงศพสูงศักดิ์ไปแล้วแต่บรรดาชาวบ้านแถวนั้นยังคงโกรธแค้น ไม่ยอมแม้จะให้ฝังพระศพในบริเวณปราสาท ที่สุดแล้วจึงต้องส่งพระศพไปฝังยังบ้านเกิดของพระองค์เอง


เรื่องราวของ Countess Bathory หรือ Bloody Countess ทั้งเรื่องจริงและเรื่องที่แต่งเพิ่มเติมกันนี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับวรรณกรรม อุปรากร ภาพยนตร์ เพลง ภาพวาด แม้กระทั่งเกมส์และโมเดลตุ๊กตาสะสม (McFarlene's Monster Serie3: Six Faces of Madness ประกอบด้วย Billy The Kid, Rasputin, Vlad The Impaler, Elizabeth Bathory, Atilla The Hun, Jack The Ripper ตัวหลังๆจะทยอยนำเสนอคราวหลังนะคะ) เรียกได้ว่าแม้จะเป็นฆาตรกรโหดโรคจิต แต่ก็ได้เป็น popular icon ยาวนานมาจนปัจจุบันเลยทีเดียว






References:

http://www.elizabethan-era.org.uk/elizabeth-bathory.htm
http://www.bbc.co.uk/dna/h2g2/A593084
http://en.wikipedia.org/wiki/Elizabeth_B%C3%A1thory
http://en.wikipedia.org/wiki/Iron_maiden_(torture)
http://www.essortment.com/all/elizabethbathor_rmpp.htm
http://www.trutv.com/library/crime/serial_killers/predators/bathory/women_3.html

Images:
- http://www.google.co.th/imglanding?q=iron+maiden+torture&um=1&hl=th&sa=N&rlz=1T4IRFC_enTH392TH392&tbs=isch:1&tbnid=Fc2D9zXULn6MkM:&imgrefurl=http://dunego.net/amazing/36-people/265-collection-of-most-barbaric-medieval-instruments-of-torture.html&imgurl=http://www.moolf.com/images/stories/Interesting/Instruments-of-Torture/Iron-Maiden-5.jpg&zoom=1&w=525&h=775&iact=hc&ei=fJCtTLaaCoPKvQOYlo3qBg&oei=KpCtTJu-OITEvQPJ-9nSBQ&esq=6&page=6&tbnh=163&tbnw=112&start=54&ndsp=11&ved=1t:429,r:5,s:54&biw=1003&bih=475

http://www.google.co.th/imglanding?q=Mcfarlane+6+Faces+of+Madness+collection&hl=th&sa=X&gbv=2&biw=1003&bih=475&tbs=isch:1&tbnid=StQiB9fPIrecqM:&imgrefurl=http://www.mcfarlanesmilitary.com/6-faces-of-madness.html&imgurl=http://www.mcfarlanesmilitary.com/images/mcfarlane-6fom-elizabeth-ba.jpg&zoom=1&w=280&h=280&iact=hc&ei=aH-tTICvOI6gvgPtj6G-BQ&oei=aH-tTICvOI6gvgPtj6G-BQ&esq=1&page=1&tbnh=171&tbnw=160&start=0&ndsp=9&ved=1t:429,r:0,s:0


http://templelibraryreviews.blogspot.com/2010/02/art-pick-elizabeth-bathory.html

http://www.google.co.th/imglanding?q=elizabeth+bathory&hl=th&gbv=2&tbs=isch:1&tbnid=u0IelnPKjgFZHM:&imgrefurl=http://www.marvunapp.com/Appendix/bloodcou.htm&imgurl=http://www.marvunapp.com/Appendix/bloodcou1.jpg&zoom=1&w=256&h=321&iact=hc&ei=0n2tTKaIAYLIvQP8gNW1Bg&oei=zX2tTOeQJ4KivQOi0onBBQ&esq=4&page=7&tbnh=152&tbnw=121&start=61&ndsp=10&ved=1t:429,r:0,s:61&biw=1003&bih=475

http://www.google.co.th/imglanding?q=elizabeth+bathory&hl=th&gbv=2&tbs=isch:1&tbnid=hoUk3eWcFjJQ9M:&imgrefurl=http://www.allyoulike.com/27585/bathory-2008-dvdrip/&imgurl=http://img18.myimg.de/Bathory2008Small7a61e.jpg&zoom=1&w=360&h=480&iact=hc&ei=pn2tTJDLMIj0vQPZrOHYBg&oei=ln2tTNeGF4SevQPWi5XFBQ&esq=5&page=6&tbnh=152&tbnw=97&start=51&ndsp=10&ved=1t:429,r:4,s:51&biw=1003&bih=475

http://connect.in.com/elizabeth-bathory/photos-1-1-1-efa5001918a1b38e89dff67aef66e48f.html

http://www.google.co.th/imglanding?q=elizabeth+bathory&hl=th&biw=856&bih=372&gbv=2&tbs=isch:1&tbnid=zjId-rNOxYqkDM:&imgrefurl=http://www.vampires.com/countess-elizabeth-bathory-part-1/&imgurl=http://www.vampires.com/wordpress/wp-content/uploads/2009/10/elizabethbathory1.JPG&zoom=1&w=400&h=519&iact=hc&ei=l3ytTKG8GoauvgPFyoXBBQ&oei=nHytTJzeI5KGvAPqjsDKBQ&esq=1&page=1&tbnh=159&tbnw=120&start=0&ndsp=12&ved=1t:429,r:4,s:0

http://www.google.co.th/imglanding?q=castle+Cachtice&hl=th&sa=G&biw=856&bih=372&gbv=2&tbs=isch:1&tbnid=8_Nk5UKm80Mn8M:&imgrefurl=http://www.slovakia.com/pictures/castles/&imgurl=http://www.slovakia.com/pictures/castles/cachtice.jpg&zoom=1&w=600&h=400&iact=rc&ei=MHytTPDPEI64vQPDstDzBg&oei=InytTNTSCZCsvgPvv4zHBQ&esq=3&page=1&tbnh=131&tbnw=187&start=0&ndsp=8&ved=1t:429,r:0,s:0