วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

High Heels: สารพัดส้นสูง


สมัยนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารองเท้า โดยเฉพาะรองเท้าส้นสูง เป็นความคลั่งไคล้ของสาวๆหลายคน ยากนักที่จะพบสาวสักคนที่มีความจงรักภักดีต่อรองเท้าเพียงคู่หรือสองคู่เท่านั้น ยิ่งสมัยนี้วัสดุและกระบวนการผลิตแบบ mass production ทำให้ได้รองเท้าที่ราคาถูกลง เมียงมองไปตามร้านค้า ในห้างหรูจนถึงตลาดนัด เราจะพบแบบรองเท้ามากหน้าหลายตาหลากลูกเล่นจริงๆ คราวนี้เลยสนใจอยากจะเจาะแฟชั่นรองเท้าส้นสูง ขุดกันจนถึงรากเหง้าความเป็นมาให้รู้กันไปว่ามนุษย์เราผูกพันกับรองเท้าทรมานส้นมาเนิ่นนานเพียงใดแล้ว

รองเท้าที่นับว่าคลาสสิค อมตะนิรันด์กาล เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นผู้หญิงยุคใหม่ (ที่ไม่ชอบเดินให้มันสบายๆ) ก็คือรองเท้าส้นสูง (high-heeled shoes หรือ high heels หรือจะเรียกว่า heels เฉยๆก็ได้) จริงๆแล้วถ้าความสูงของส้นรองเท้าไม่เกิน 2.5 inches จัดว่าเป็น low heels (inches คือ ‘นิ้ว’ ที่เป็นหน่วยวัด ไม่ใช้คำว่า fingers นะคะ) ประมาณ 2.5-3 inches เป็น mid heels และถ้าสูงกว่านั้นก็จะเรียกว่าเป็น high heels ได้เต็มปากเต็มคำค่ะ

รองเท้าส้นสูงนี้อยู่คู่กับอารยธรรมมนุษย์เรามาช้านาน ภาพวาดของชาวอียิปต์ในในสมัยโบราณเมื่อประมาณ 4,000 BC บ่งบอกว่าพวกชนชั้นสูงและคนทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ใส่รองเท้ามีส้นเพื่อให้ดูแตกต่างจากชาวบ้านเท้าเปล่าหรือรองเท้าแบนๆธรรมดา แต่ขณะเดียวกันคนฆ่าสัตว์ (butcher) ก็ใส่รองเท้าที่มีพื้นสูงเพื่อเวลาเดินเท้าจะได้ไม่เปื้อนคราบเลือดที่นองอยู่บนพื้น นักแสดงชาวกรีกโรมันโบราณใส่รองเท้ามีส้นเพื่อจะได้ดูเก๋กว่าคนทั่วไป ทว่ารองเท้าส้นสูงในพื้นที่ค้าประเวณี (red zone) ก็เป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่าแม่สาวคนนี้เป็นหญิงบริการ ในประเทศญี่ปุ่นมีรองเท้าโบราณอยู่สองประเภทคือ zori (รองเท้าแบนๆสานจากหญ้าแห้ง) และ geta (เกี๊ยะนั่นเอง) geta ได้รับการปรับระดับให้สูงขึ้นเพื่อสวมใส่กับชุด kimono นอกจากจะทำให้ผู้ใส่ดูสวยงามสง่าแล้วยังช่วยกันไม่ใช้ชาย kimono เลอะน้ำครำด้วย เห็นได้ว่านอกจากรองเท้าส้นสูงจะได้วิวัฒนาการมาให้เหมาะสมกับการใช้งานแล้วยังเป็นสัญลักษณ์ทางสังคมที่หลากหลายอีกด้วย



1. 'Kothorni' (platform shoes) รองเท้าโบราณที่ยกพื้นให้สูงขึ้นเล็กน้อยของชาวอียิปต์โบราณ
2. Geta ในญี่ปุ่น



ในศตวรรษที่ 14-16 มีรองเท้าส้นสูง(จริงๆ)ที่เรียกว่า 'chopines’ ซึ่งเป็นรองเท้าไม้ที่เสริมส้นให้สูงขึ้น และแพร่กระจุยในยุโรปโดยเฉพาะในราชสำนักอิตาลีและสเปน chopines เคยวิวัฒนาไปจนสูงม๊ากมากขนาดยี่สิบกว่านิ้วก็มี สูงเสียจนกระทั่งผู้สวมใส่จะต้องมีสาวใช้สองข้างคอยประคองเดินกันเลยทีเดียว ต่อมา chopines จึงเริ่มกลายเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกฐานะของผู้สวมใส่ เพราะคนรวยจัดเท่านั้นถึงจะมีเงินขนาดคอยจ้างสาวรับใช้เพื่อรองเท้าเก๋ๆสักคู่



3. Chopines
4. ภาพวาด chopines ระดับสูง



หลักฐานการเป็นอยู่คืออย่างเป็นทางการของรองเท้าส้นสูงคู่แรกๆนั้นเล่าขานกันว่าเหตุเกิดเพราะแม่สาวน้อย Catherine de Medici (1519-1589) เกิดต้องคลุมถุงอภิเษกกับท่าน Duke of Orléans แห่งราชวงศ์ Valois ราชโอรสคนที่สองของกษัตริย์ Francis I (ต่อมาท่าน Duke ได้ครองราชบัลลังก์ฝรั่งเศสในปี 1536 ในนาม Henri II ) แม่หนู Catherine อายุเพิ่งจะ 14 ชันษา ตัวเล็กนิดเดียวแต่ต้องเข้าอภิเสกงานใหญ่โต จึงให้ช่างรองเท้าจากบ้านเกิดเมือง Florence เพิ่มส้นรองเท้าของตนให้สูงขึ้นสองนิ้ว ทำให้หนูน้อยดูสูงขึ้นทันตา แถมเวลาเดินก็แลดูสง่างามด้วย รองเท้ามีส้นสัญชาติอิตาเลียนจึงเริ่มกลายเป็นที่นิยมในหมู่ชาววังฝรั่งเศส ในหน้าประวัติศาสตร์ช่วงๆนั้นในยุโรป รองเท้าส้นสูงได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของราชนิกูรผู้มีอันจะกิน จนเกิดมีคำคุณศัพท์ ‘well-heeled’ หมายถึงบุคคลที่มีอำนาจและความมั่งคั่ง


5. ภาพวาดพิธีอภิเสกสมรสระหว่างหนุ่มสาวทั้งคู่


รองเท้าส้นสูงมิได้ป๊อปปูล่าในแวดวงของสตรีเท่านั้น ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ (Louis XIV: 1638-1715) ก็ทรงโปรดการใส่รองเท้ามีส้น อาจเพราะทรงมี ‘Napoleon Complex’ (นโปเลียนเป็นจักรพรรดิ์ที่ยิ่งใหญ่ทว่ารูปร่างค่อนข้างสัดทัด— เตี้ยไม่สมความเกรียงไกร ทรงให้ช่างภาพวาดภาพตัวเองสูงใหญ่กว่าความเป็นจริง Napoleon Complex จึงเป็นศัพท์หมายถึงชายที่มีอำนาจแต่อับอายในความไม่สูงใหญ่ของตน) อาจจะเพราะ Louis XIV ก็ทรงมีพระวรกายที่ไม่สูงนักจึงได้โปรดการใส่ส้นเพิ่ม รองเท้าของพระองค์เสริมส้นด้วยไม้ cork และสูงได้ถึงห้านิ้ว ทรงให้ประดับประดาด้วยริบบิ้น และวาดลวดลายชัยชนะจากการทำศึกของพระองค์ไว้ที่ส้นรองเท้าด้วย พระองค์ดูจะทั้งรักทั้งหวงรองเท้าส้นสูงมากถึงขั้นออกพรบ. (decree) ห้ามมิให้สามัญชนหน้าใดใส่รองเท้าส้นสูง ‘สีแดง’ (les talons rouges) ผู้ที่จะสามารถใส่ส้นสูงแดงในวังได้ก็ต้องเป็นผู้ที่มีสืบเชื้อ DNA มาจากราชตระกูลและต้องเป็นบุคคลที่หลุยส์ทรงโปรดปรานเท่านั้น และแม้ได้รับอนุญาตให้ใส่ talons rouges แล้วก็ต้องระวังห้ามมิให้ส้นรองเท้าสูงกว่าพระองค์ด้วยเป็นเด็ดขาด รองเท้าส้นสูงจึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการแบ่งวรรณะและการเมืองอย่างเห็นได้ชัดมากในรั้ววังฝรั่งเศสสมัยนั้น


6. เหล่าขุนนางที่มีอภิสิทธิ์ได้ใส่เกือกแดง
7. Portrait of Louis XIV

มรดกตกทอดจาก Louis XIV ก็คือส้นรองเท้าที่เรียกว่า ‘Louis Heels’ มีลักษณะเป็นส้นที่คอดกิ่วตรงกลาง ดูอ่อนช้อย ปัจจุบันก็ยังเป็นที่นิยมในหมู่ดีไซน์เนอร์อยู่เพราะรูปคลาสสิคสง่างามได้อารมณ์รั้ววังฝรั่งเศส



8 Louis Heels

ความนิยมรองเท้าส้นสูงทำให้สาวๆหลายนางพันเท้าให้เล็กเรียวเพื่อให้เท้าดูน่าทะนุถนอมใส่รองเท้าส้นสูงได้งดงามแลดูน่าหมายปองสำหรับหนุ่มๆ ปรากฏการณ์นี้ทำให้ชาวคริสต์เคร่งที่เรียกตัวเองว่า Puritans ในรัฐ Massachusetts (สมัยที่สหรัฐอเมริกายังเป็นอาณานิคมของอังกฤษในช่วงประมาณศตวรรษที่ 16-17) ออกกฏหมายห้ามหญิงสาวใส่รองเท้าส้นสูง เพราะเป็นเสมือนสัญลักษณ์กวักมือเรียกเพศตรงข้าม ไม่สมเป็นกุลสตรี มีโทษเทียบเท่ากับการเป็นแม่มด (witch) เลยทีเดียว ผ่านพ้นไปจนเข้ากลางศตวรรษที่ 19 โน่นกว่าทางฝั่งอเมริกาจะสามารถยอมรับรองเท้าส้นสูงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตได้

แม้ทางฝั่งยุโรปเองที่สุดแล้วรองเท้าส้นสูงก็ได้รับการต่อต้านเพราะเป็นเครื่องหมายแห่งความไม่เท่าเทียม รองเท้าส้นสูงในฝรั่งเศสจึงตายไปพร้อมกับ Louis XVI และพระนาง Marie Antoinette ในการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี 1789


รองเท้าส้นสูงกลับมา en vogue (in style) อีกครั้งในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ต้องขอบคุณวิวัฒนาการของจักรเย็บผ้า (sewing machine) ที่ทำให้บรรดาช่างสามารถสรรค์สร้างรองเท้าได้สวยงามหลากหลายและสะดวกขึ้น กระนั้นกระแสต่อต้านรองเท้าส้นสูงก็ยังคงมีควบคู่กันมาตลอดโดยเฉพาะประเด็นเรื่องความยั่วยวนเกินงามและการเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้สวมใส่ แต่ด้วยความสวยมิอาจห้ามใจ รองเท้าส้นสูงจึงมาแรงแซงคำเตือนอย่างยิ่งในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 (The Roaring Twenties) จนกระทั่งช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง ทรัพยากรขาดแคลน เศรษฐกิจตกต่ำ ส้นสูงจึงสูงและหนาแต่เพียงพอดีเข้ากับยุคสมัย
เมื่อหลังสงครามโลกสิ้นสุดลง วงการรองเท้าก็เริ่มเริงร่าได้อีกครั้ง ยิ่งพอมี miniskirts ออกมาในช่วง 60s (ปี1960-69) ความนิยมในการนุ่งสั้นเสริมส้นโชว์เรียวขาก็พุ่งกระฉูด


9. สาวๆกับ miniskirts และ heels ในยุคนั้น

แต่แล้วกระแสก็เริ่มมอดลงเพราะเกิดกระแส feminism ที่หญิงสาวด้วยกันเองมองว่าการใส่ส้นสูงก็ไม่ต่างจากการใส่ corset (ชุดรัดทรงให้สาวๆมีเอวกระจิดริดซึ่งฮอทฮิตในยุโรปในสมัยก่อน แน่นยิ่งกว่าชุดโอนามิสมัยนี้เสียอีก) หรือการพันเท้าของสาวจีนโบราณที่ทำไปเพื่อให้ผู้ชายพอใจ(ว่ามีเมียเท้าเล็กน่าทะนุถนอม เดินเองยังไม่ได้ จึงต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนแต่โดยดี) การใส่ส้นสูงเท่ากับเป็นการยอมทำตัวเป็นวัตถุทางเพศให้แก่ฝ่ายชาย กอปรกับกระแส Hippies บุปผาชนในช่วงกลางๆยุค 60s ความนิยมในความสูงของส้นจึงลดลงเหลือเพียงแผ่นรองเท้าแบนๆติดดิน เช่นพวกรองเท้าสานที่เรียกว่า sandals




10. a sandal
11. Hippies ในยุค 60s


ส้นกลับมาสูงอีกครั้งในช่วง 70s ไม่เชื่อลองไปดูรองเท้าของ John Travolta ในเรื่อง Saturday Night Fever ได้เลย เราเรียกส้นหนาๆสูงๆ หรือส้นตึกของยุคนี้ว่า ‘disco platform’ ค่ะ stereotype ของคนยุคนี้เป็นอะไรที่ซาบซ่ามาก ชอบลองของใหม่ sex, drugs and fashion แรงๆทั้งนั้น รองเท้าก็เช่นกัน ทั้งแบบและสีสันฉูดฉาด ลวดลาย psychedelic (ลายวนไปวนมา) ผมทรง Afro ทั้งหมดเป็น trademark ของยุค 70s


12. วง Disco Freaks ย้อนรอยหนุ่มสาวแบบ Disco
13. รองเท้าแบบ Disco ในยุค 70s

พอเข้ายุค 80s กระแสต่อต้นรองเท้าส้นสูงก็ยิ่งแผ่วลงไปอีก feminists หลายคนเริ่มเปลี่ยนความคิดใหม่ และลงความเห็นว่าการใส่ส้นสูงนั้นมิได้เป็นการต้องกระทำเพื่อให้เพศตรงข้ามอภิเชษฐ์เสมอไป หากเป็นความพึงพอใจของผู้หญิงเอง เพราะได้สร้างความงามให้กับตนเองต่างหาก มองในมุมนี้รองเท้าส้นสูงจึงเป็นสิ่งแสดงออกซึ่งอำนาจ ความเชื่อมั่น และความเป็นตัวของตัวเองของหญิงสาว
เหลือเชื่อว่าครั้งหนึ่งรองเท้าส้นสูงเคยถูก banned เพราะเป็นสัญลักษณ์แห่งความไม่เท่าเทียมทางสังคม เพราะทุกวันนี้รองเท้าส้นสูงกลายเป็นสัญลักษณ์ของสตรีสมัยใหม่ ใคร ban รองเท้าส้นสูง คงจะต้องถูกตราหน้าว่าละเมิด freedom of expression ของสาวๆยุคใหม่แน่นอน



พอเข้าปลายศตวรรษที่ 20 รองเท้าส้นสูงก็ได้เข้ามาเจิดจรัสอยู่ใน spotlight และดูเหมือนจะสืบเนื่องยาวนานมาจนทุกวันนี้ ส้นรองเท้าและแบบของรองเท้าก็ได้รับการวิวัฒนาให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
พูดถึงตัวพ่อของวงการส้นสูงยุคใหม่นี้ก็ต้องขอยกให้กับ Mr. Roger Vivier (1907-1998) ดีไซน์เนอร์ชาวฝรั่งเศสผู้ได้ออกแบบรองเท้าส้นสูงเล็กเรียวแหลมคู่แรกของโลกที่เรียกกันว่า Stiletto heels ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีมีอุปสงค์ท่วมท้น Mr. Vivier ยังเป็นผู้ออกแบบรองเท้าที่ Queen Elizabeth II (องค์ปัจจุบันนั่นเอง) ใส่ในวันงานขึ้นครองราชย์ด้วย (the coronation)
14. Mr. Roger Vivier


ในปี 1953-1963 Mr. Vivier ได้ออกแบบรองเท้าให้กับ Christian Dior และได้ทิ้งมรดกทางความสร้างสรรค์ไว้ให้กับรองเท้าส้นสูงปัจจุบันด้วยลูกเล่นสารพัด ทั้งผ้าไหม ลูกปัด ลูกไม้ ไข่มุก กระทั่งอัญมณี รองเท้าที่สร้างชื่อให้ Mr. Vivier ที่สุดอีกชิ้นเห็นจะเป็น ‘Pilgrim Pump’ ที่ Catherine Deneuve ใส่เล่นเรื่อง La Belle Jourpump’ คือรองเท้าหุ้มส้น ลักษณะก็คือรองเท้าคัทชู (court shoes) นั่นเองค่ะ ส่วน ‘pilgrim shoes’ คือรองเท้าเชยๆแบบโบราณที่นิยมใส่กันสมัยล่าอานานิคม (Colonialism) แต่ Mr. Vivier เอามาปัดฝุ่นเสียใหม่ อัพส้นและสไตล์เสียจนเก๋กู๊ด เดี๋ยวนี้มีให้เห็นทั่วไป แต่ตอนออกมาใหม่ๆนั้นเป็นอะไรที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อนเลยจริงๆ


15. รองเท้า pilgrim pump แบบมาตรฐานโบราณ
16. pilgrim pump ของ Vivier ที่ปัดฝุ่นใหม่แล้ว
17. pilgrim pump limited edition ตัวล่าสุดของ Vivier คราวนี้เป็นส้น stiletto ประดับด้วยคริสตัล Swarovski


ตัวพ่ออีกคนที่สาวๆศตวรรตที่ 21 จะต้องรู้จักก็คือ Manolo Blahnik (1942-) นักออกแบบรองเท้าสายเลือดสเปน(แต่ร่ำเรียนที่ฝรั่งเศสและทำงานที่อังกฤษ ปัจจุบันมีร้านรองเท้าอยู่แทบจะทั่วโลก Blahnik ไม่สนใจส้นสูงกระแสหลักที่เป็นพื้นหนาเทอะทะแนว platform จึงหันมา focus กับส้นรองเท้าที่ดูเพรียวบางเช่นเดียวกับ Mr. Vivier จะว่าไปส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณซีรี่ส์เรื่องดัง Sex and the City ฉากที่นางเอกโดนปล้นมุมตึกและได้ขอร้องคุณโจรว่า “…จะเอาอะไรก็เอาไปเถิด กระเป๋า Fendi สร้อย แหวน นาฬิกา แต่อย่าเอา ‘Manolo’ คู่นี้ของดิฉันไปเลย” นั่นก็เพราะนอกจากความสวยสะดุดของดีไซน์แล้ว ราคารองเท้าของ Manolo นั้นราคาอยู่ที่คู่ละ 300-400 ยูเอสดอลล่าร์เลยทีเดียวค่ะคุณผู้ชม!


18. Mr. Manolo Blahnik กำลังเซ็นรองเท้า
19. แบบ sketch อันบาดทรวงของรองเท้าตระกูล Manolo


เป็นที่ยอมรับกันอย่างเป็นเอกฉันทร์ว่ารองเท้าของ Manolo นั้นสวยสมราคาทีเดียว รองเท้าที่ถือว่าเป็นตำนานของตัวพ่อคนนี้คือรองเท้าส้นสูงแบบ ‘ไร้ส้น’ (heeless) ซึ่งออกมาให้ได้ยลเมื่อปี 2006 ค่ะ



ที่เลือกหยิบมานี่ก็เป็นเพียงสองตัวพ่อจากหลายๆตัวพ่อตัวแม่ทั้งที่ทำแบรนด์เองและทำงานให้กับแบรนด์ดังระดับโลก เพราะเดี๋ยวนี้รองเท้าส้นสูงก็ออกมาแข่งขันกันอย่างร้อนแรงเหลือเกิน


ขอตบท้ายบทความนี้ด้วยคำศัพท์ในวงการส้นสูงก็แล้วกันนะคะ ลักษณะส้นที่เรารู้จักไปแล้วก็คือ stiletto ซึ่งเป็นส้นเพรียวบาง เวลาเดินควรถ่ายน้ำหนักไปด้านหน้าเหมือนเดินด้วยปลายเท้าค่ะ ส้นแบบ cone คือส้นที่ใหญ่ด้านบนแล้วค่อยๆเล็กเพรียวลงมาด้านล่างเหมือนโคนไอศกรีม ส้นแบบ spool คือส้นแบบ Louis Heels มีลักษณะคอดตรงกลางคล้ายๆนาฬิกาทราย ส้นแบบ wedge บ้านเราเรียกว่าส้นเตารีดค่ะ ส่วนรองเท้าแบนๆไม่มีส้นเรียกว่า flat shoes หากกิ๊บเก๋ทำเป็นหุ้มส้นด้วยคล้ายๆรองเท้าบัลเลต์ก็จะเรีกว่า ballet flats ค่ะ

ส่วนลักษณะลูกเล่นของรองเท้าก็มีหลากหลายทีเดียว รองเท้าหัวแหลมเรียกว่า pointed toe ถ้าหัวเปิดให้เห็นนิ้วเท้าบ้างเรียกว่า peep toe ค่ะ เราสามารถสร้าง combination เพื่อบรรยายลักษณะรองเท้าเองได้เช่น peep toe pump ก็คือรองเท้าแบบคัทชูหุ้มส้นแต่เปิดให้เห็นนิ้วเท้านิดนึง


ส้นแบบ cone, wedge และ ballet flat

สำหรับรองเท้าที่ออกจะเปลือยๆ ไม่มีหุ้มส้น มีเพียงเส้นๆสายๆพาดไปมาอย่างเซ็กซี่เรียกว่า strappy shoes ค่ะ จะสร้าง combination เป็น strappy wedge หรือ strappy ballet flats ตามที่เรียนมาตะกี้ก็ได้

สำหรับลูกเล่นเก๋ๆของรองเท้าส้นสูงทั้งหลาย ถ้าเป็นรองเท้าที่ติดเลื่อมวิ้งๆแพรวพรายเรียกว่า shoes with sequins มีขอบทองๆเรียกว่า with gold trim มีหมุดคือ with studs ถ้าหรูหรามีเครื่องประดับเช่นเข็มกลัดติดอยู่ด้วยก็ with brooch หรือเรียกรวมๆว่า with ornament ค่ะ ส่วนรองเท้าที่ตกแต่งด้วยผ้าขยุ้มๆขยุกขยุยเรียกว่า shoes with ruffle detail ค่ะ


High-heeled shoes with sequins, with ruffle detail และ strappy heels

ใส่รองเท้าแฟชั่นทั้งหลาย ถ้าโดนกัดก็ต้องเรียกหาตัวช่วย ‘กันกัด’ ภาษาอังกฤษเรียกว่า comfort shoe halter ค่ะ ริจะใส่รองเท้าส้นมหัศจรรย์พวกนี้แล้วก็ต้องอย่าลืมดูแลสุขภาพน่องและเท้าด้วยนะคะ

References:
http://en.wikipedia.org/wiki/High-heeled_footwear
http://www.japan-zone.com/culture/footwear.shtml
http://www.randomhistory.com/1-50/036heels.html
http://www.lifeinitaly.com/fashion/high-heels.asp
http://www.footwearhistory.com/highrenwomens.shtml
http://washingtoncube.blogspot.com/2006/12/red-high-heels.html
http://www.shoeblog.com/blog/viviers-pilgrim-shoes/
http://designmuseum.org/design/manolo-blahnik

Photos courtesy:
1. http://en.citizendium.org/wiki/Geta
2. http://mathongbantitasourcebook-natty.blogspot.com/2009_11_01_archive.html
3. http://houseofkhan.blogspot.com/2009_04_01_archive.html
4. http://www.probertencyclopaedia.com/cgi-bin/res.pl?keyword=Chopine&offset=0
5. http://www.art.com/products/p12627254-sa-i1633619/jacopo-da-empoli-the-marriage- of-catherine-de-medici-and-henri-ii-1533.htm
6 and 7 http://les8petites8mains.blogspot.com/2010/07/la-veste-de-velours-rouge-de-sylvie.html
8. http://houseofkhan.blogspot.com/2009_04_01_archive.html
http://www.bustledress.com/cgi-bin/z.pl/reset/room3222.html
9. http://justfad.blogspot.com/2009/01/miniskirts-galore.html
10. http://shoestutor.com/what-are-hippie-sandals
11. http://dyn.politico.com/members/forums/thread.cfm?catid=1&subcatid=1&threadid=3424908
12. http://www.nealshelton.com/DiscoFreaks/disco-freaks.htm
13. http://www.backwhenradiowasboss.com/
14. http://www.fiaf.org/events/fall2007/2007-fall-fashion-talks.shtml
15. http://arcticboy.arcticboy.com/picture-of-pilgrim-shoes
16 and 17. http://www.millionlooks.com/tag/beth-levine/
18. http://blog.manoloblahnikretail.com/2010/03/
19. http://www.shoes-addiction.com/2010/03/09/manolo-blahnik/
20. http://www.lucidnewyork.com/blog/index.php/life/zac-posen-fall-2010-shoes-manolo-blahnik-for-zac-posen/