วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ปฐมกาล The Genesis

เห็นชาวบอร์ดบางคนมีใจใฝ่รู้เรื่องศาสนา คราวนี้ก็จะลงเรื่องกำเนิดโลกและมนุษย์ของศาสนาคริสต์ให้นะคะ เรื่องอื่นๆหมวดนี้จะค่อยๆทยอยลงตามมาตามโอกาสและความว่าง

และเนื่องจากเนื้อหาค่อนข้างศักดิ์สิทธิ์เพราะบางส่วนคัดมาจากพระคัมภีร์โดยตรง (The Holy Bible) เพื่อความเข้าใจจะได้ไม่คลาดเคลื่อน อนึ่งพระคัมภีร์นี่ใครจะเขียนเป็นเวอร์ชั่นตัวเองหรือเอาเข้าโรงพิมพ์เองไม่ได้นะคะ ศาสนาคริสต์มีผู้ที่ดูแลเรื่องการแก้ไขต้นฉบับแปลและการพิมพ์แจกจ่ายอยู่แล้ว พระคัมภีร์ภาษาไทยจัดทำโดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (Thailand Bible Society) ส่วนภาษาอังกฤษมีองค์กรที่ดูแลอยู่คือ The Gideon International ค่ะ (‘กิเดโอน’ หรือ ‘กีเดี้ยน’ คือบุคคลในพระคัมภีร์ เดิมทีไม่เชื่อในพระเจ้าแต่ภายหลังกลับเชื่อฟัง ยำเกรงและซื่อสัตย์ต่อพระเจ้ามาก ปัจจุบัน The Gideons คือกลุ่มคนที่มุ่งมั่นอธิษฐาน ประกาศและแจกพระคัมภีร์ทั่วโลก) พระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์จะประกอบด้วยสองส่วนหลักคือ ภาคพันธสัญญาเดิม (The Old Testament) ซึ่งเป็นเรื่องราวก่อนคริสตกาล และภาคพันธสัญญาใหม่ (The New Testament) ซึ่งว่าด้วยเรื่องชีวประวัติและคำสอนของพระเยซู (Jesus)

เรื่องราวของการกำเนิดโลกนั้นพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ได้อธิบายไว้ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและสร้างมนุษย์ขึ้นมา มีรายละเอียดอยู่ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ในบทปฐมกาล (Genesis)
(*God ใช้ ‘G’ เสมอเพราะถือว่ามีองค์เดียวจำเพาะเจาะจง แต่หากกล่าวถึงทวยเทพในความเชื่ออื่นเขียน god ด้วย ‘g’ ได้ค่ะ เช่น the Greek gods)
แรกเริ่มนั้นโลกเราเป็นเพียงความว่างเปล่า (formless and empty) แล้วพระเจ้าก็ตรัสว่า “Let there be light,” and there was light. พลันมีแสงสว่างขึ้นแบ่งแยกความมืดกับความสว่างเกิดเป็นกลางวันและกลางคืน นี่คือวันแรก

แล้วพระเจ้าก็ตรัสว่า “Let there be an expanse between the waters to separate water from water.” ทรงแยกแผ่นน้ำออกจากกัน เกิดท้องฟ้าขึ้นมา นี่คือวันที่สอง

พระเจ้าตรัสว่า “Let the water under the sky be gathered to one place, and let dry ground appear.” ทรงเรียกที่แห้งนั้นว่าแผ่นดินและที่น้ำรวมกันว่าทะเล ทรงเห็นว่าดีแล้วก็ตรัสต่อไปว่า “Let the land produce vegetation: seed-bearing plants and trees on the land that bear fruit with seed in it, according to their various kinds.” เกิดพืช(vegetation) และผักหญ้าที่มีเมล็ดตามชนิดของมัน นี่คือวันที่สาม

แล้วทรงตรัสว่า “Let there be lights in the expanse of the sky to separate the day from the night, and let them serve as signs to mark seasons and days and years, and let them be lights in the expanse of the sky to give light on the earth.” พระเจ้าทรงสร้าง’ดวงสว่าง’ไว้บนฟ้าสองดวง ดวงใหญ่ครองวัน ดวงเล็กครองคืน เพื่อเป็นตัวกำหนดฤดูกาล วันและปี และทรงสร้างดวงดาวต่างๆให้ส่องสว่างไว้ด้วย ถึงตอนนี้โลกมิได้มีแค่กลางวันกับกลางคืน แต่มีเช้าสาย บ่าย เย็นด้วย นี่คือวันที่สี่

แล้วทรงตรัสว่า “Let the water teem with living creatures, and let birds fly above the earth across the expanse of the sky.” น้ำอุดมไปด้วยฝูงปลาที่มีชีวิต บนฟ้าก็มีสัตว์ปีก ทรงเห็นว่าดีแล้วก็ทรงอวยพร (blessed) “Be fruitful and increase in number and fill the water in the seas, and let the birds increase on the earth.” จงมีลูกดกทวีมากขึ้น (fruitful = เต็มไปด้วยดอกผลหรือลูกหลาน)จนเต็มน้ำในทะเล และให้นกทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน นี่คือวันที่ห้า


แล้วทรงตรัสว่า “Let the land produce living creatures according to their kinds: livestock, creatures that move along the ground, and wild animals, each according to its kind.” เกิดสัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ป่า
แล้วทรงตรัสว่า “Let us make man in our image, in our likeness and let them rule over the fish of the sea and the birds of the air, over the livestock, over all the earth, and over all the creatures that move along the ground.” ทรงสร้างมนุษย์ชายและหญิงตามพระฉายาของพระองค์ ให้ปกครองแผ่นดินและครอบครองทุกสิ่งมีชีวิตที่ทรงเนรมิตรขึ้นมา แล้วทรงอวยพร “Be fruitful and increase in number; fill the earth and subdue it… นี่คือวันที่หก

พระเจ้าทรงสร้างโลกเรียบร้อยแล้ว วันที่เจ็ดวันต่อมาพระองค์จึงพักผ่อน แล้วเลยอวยพรวันแห่งการพักผ่อนนี้ให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ (holy) ชาวคริสต์จึงให้คุณค่ากับการพักผ่อนหนึ่งวันในสัปดาห์ซึ่งมักเป็นวันอาทิตย์ เพื่อพักผ่อนจากการกรำงานมาทั้งอาทิตย์ให้ร่างกายได้พักผ่อน ใช้เวลากับครอบครัว และเข้าโบสถ์นมัสการพระเจ้า เรียกวันนี้ว่า ‘Sabbath’ หรือ ‘day of rest’

Adam and Eve and The Fall of Man


ในกระบวนการสร้างมนุษย์คนแรกหรือ นายอดัมนั้น Bible อธิบายไว้ว่า ‘The LORD God formed the man from the dust of the ground and breathed into his nostrils the breath of life, and the man became a living being.’

พระเจ้าเห็นว่านายอดัมอยู่ลำพังจะเหงา จึงนำสัตว์แต่ละชนิดมาให้นายอดัมตั้งชื่อและพิจารณาเป็นคู่หูเพื่อให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่ก็ไม่พบที่ถูกใจ พระเจ้าจึงบันดาลให้นายอดัมหลับไหลไป แล้วสร้างมนุษย์ผู้หญิงจากซี่โครง (ribs) ของนายอดัม พอนายอดัมตื่นขึ้น เห็นหญิงสาวก็พูดว่า
“This is now bone of my bones and flesh of my flesh; she shall be called ‘woman’, for she was taken out of man.”
คำว่า woman จึงเกิดขึ้นเพราะเป็นเพศที่เกิดจาก man และด้วยเหตุกำเนิดนี้เอง ผู้ชายเมื่อเติบโตเป็นหนุ่มจึงต้องจากพ่อแม่เพื่อมารวม (unite) กับอีกส่วนหนึ่งของเขา ในภาษาอังกฤษจึงมีคำเรียกคนรักว่า ‘my other half’ หรือ ‘my soul mate’

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอภิสิทธ์มากเพราะนอกจากมีหน้าตาเหมือนพระเจ้าแล้วยังได้เป็นผู้ดูแลสวนเอเดนด้วย สวนเอเดนเป็นสวนที่อุดมไปด้วนพืชพรรณไม้และแหล่งน้ำ มีแม่น้ำ Pishon, Gihon, Tigris และ Euphrates มีอาหารบริบูรณ์ พระเจ้าอนุญาตให้มนุษย์ทั้งคู่ อดัมและเอวา(อีฟ) กินผลจากต้นไม้ได้ทุกต้นเว้นอยู่ต้นเดียวคือ ‘ต้นไม้แห่งความสำนึกความดีและความชั่ว’

“You are free to eat from any tree in the garden; but you must not eat from the tree of the knowledge of good and evil, for when you eat of it you will surely die.”

และแล้วก็มาถึงวันที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป งู (serpent = งูใหญ่)เป็นสัตว์ป่าที่ฉลาดกว่าสัตว์ทั้งปวง (บ้างว่าเป็นซาตานจำแลงมาเพื่อจัดการมนุษย์ที่เป็นที่รักและโปรดปรานยิ่งของพระเจ้า) งูได้มาหลอกล่อเอวาให้กินผลไม้ต้องห้ามนั้นด้วยการปั่นหัวเอวาว่า “เจ้าจะไม่ตายจริงดอกเพราะพระเจ้าทรงทราบว่าเจ้ากินผลไม้วันใด ตาของเจ้าก็จะสว่างขึ้นในวันนั้นแล้วเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือสำนึกในความดีและความชั่ว” อีฟเห็นว่าผลไม้นั้นก็น่ากินอยู่ก็เลยกินเสียเลย แล้วก็ส่งให้อดัมกินด้วย เมื่อสองคนเกิดสำนึกดีชั่วก็ละอายกับร่างเปลือยของตนจึงนำใบไม้มาปกปิดไว้

เย็นวันนั้นเมื่อพระเจ้ามาที่สวน ทั้งสองก็ไม่กล้าพบหน้าพระองค์เพราะเกรงกลัวและร่างกายก็มีเพียงใบมะเดื่อปกปิด จึงซ่อนตัวในพุ่มไม้ พระเจ้าทรงทราบทันทีว่าทั้งสองละเมิดคำสั่งเสียแล้ว เมื่อได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นจึงทรงลงโทษ สำหรับงู ต่อแต่นั้นมาจะต้องเลื้อยไปด้วยท้องและกินผงคลีดินตลอดชีวิต ให้เป็นสัตรูกับผู้หญิงและพงษ์พันธุ์ของนางตลอดไป มนุษย์จะตีหัวงูให้ตายส่วนงูก็จะฉกเอาชีวิตของมนุษย์
“You will craw on your belly and you will eat dust all the days of your life. And I will put enmity between you and the woman, and between your offspring and hers; he will crush your head, and you will strike his heel.”

ส่วนเอวา ฐานที่หูเบา พระองค์ได้เพิ่มความลำบากในการคลอดบุตร หญิงจะต้องปราถนาสามี และให้สามีเป็นผู้ปกครอง
“I will greatly increase your pains in childbearing: with pain you will give birth to children. Your desire will be for your husband, and he will rule over you.”

ส่วนอดัมฐานหูเบาเช่นกัน จากนั้นไปแทนที่จะได้อยู่อย่างสุขสบายอย่างเคยจะต้องทำงานหนัก หากินด้วยความยากลำบากและในที่สุดจะต้องกลับคืนสู่ดินไป
“Cursed is the ground because of you; through painful toil you will eat of it all the days of your life. ..By the sweat of your brow you will eat your food until you return to the ground, since from it you were taken; for dust you are and to dust you will return.”
พระเจ้าสร้างมนุษย์จากดิน เมื่อมนุษย์ตายก็จะคืนสู่ดิน จึงมีวลีที่ใช้กล่าวในงานศพว่า ‘Earth to earth, ashes to ashes, dust to dust.” งานพิธีศพนั้นเรียกว่า funeral service โดยที่ service นี้คือการสวดและการดำเนินกิจทางศาสนา อย่าไปแปลตรงๆว่าเป็นบริการ เดี๋ยวงง

พระเจ้าทำเสื้อหนังสัตว์ให้ทั้งสองปกปิดร่างกายแล้วก็ขับไล่ออกจากสวนเอเดนไป และไม่ให้ทั้งสองกินผลจากต้นไม้แห่งชีวิต (the tree of life) เพราะกินแล้วจะได้มีอายุยืนชั่วนิรันดร์ ทรงให้พวกเครูบ (cherub หรือ cherubim) และกระบี่เพลิง(flaming sword) เฝ้ามิให้ผู้ใดได้เข้าใกล้ต้นไม้นั้นได้
ความผิดบาปที่คนทั้งสองกระทำไว้ในครั้งนี้ได้ส่งต่อสืบทอดมายังลูกหลาน ในความเชื่อนี้เราทุกคนจึงล้วนมีบาปตั้งแต่กำเนิด (original sin หรือ ancestral sin) แต่โปรแตสแตนท์หลายคนก็มิได้เชื่อถือเรื่องบาปกำเนิดนี้เพราะมิได้มีกล่าวไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์