วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

The Nativity: ประสูติกาลวันคริสต์มาส

1. Nativity set เห็นได้ทั่วไปตามโบสถ์ ห้างร้าน หรือสถานที่ราชการช่วงคริสต์มาส



Christmas เวียนมาเป็นรอบแรกสำหรับ Anglo-Society ของเรา จึงบังควรเป็นอย่างยิ่งที่เดือนนี้จะได้กล่าวถึงเรื่องพระประสูติกาล “คริสตสมภพ” หรือที่ชาวคริสต์ตะวันตกเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “The Nativity” เสียหน่อย



ชีวประวัติของพระเยซู(Jesus)ได้รับการบันทึกไว้ในคำภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ในส่วนที่เรียกว่า Gospels ที่ปัจจุบันนี้ยอมรับยึดถือใช้กันมีอยู่สี่เล่ม (canonical Gospels) เขียนขึ้นโดยชายสี่คน คือ มัทธิว(Mathew) มาระโก(Mark) ลูกา(Luke) และยอห์น(John)


หลายคนอาจสงสัยว่าชายหนุ่มทั้งสี่ผู้เขียน Gospels นี้ได้ไปสนิทสนมกลมเกลียวกับ Jesus อย่างไรจึงมีข้อมูลละเอียดและตรงกันได้ขนาดนี้ เรื่องมีอยู่ว่าหลังจากที่ Jesus สิ้นพระชนม์ บรรดาอัครฑูตผู้ติดตาม Jesus (disciples) ก็พากันประกาศเรื่องราวของพระองค์ด้วยวาจา ชายทั้งสี่นี้คือผู้ที่ได้รวบรวมคำพูดเหล่านั้นแล้วเขียนขึ้นมาเป็นรายลักษณ์อักษรค่ะ



2. ภาพวาดผู้เขียน Gospels ทั้งสี่เล่ม


Gospel แต่ละเล่มจะบอกเล่าเรื่องราวทั้งประวัติและคำสอนของ Jesus ทว่า focus ในรายละเอียดจะต่างกันเล็กน้อยแล้วแต่มุมมองที่แต่ละคนเขาบรรจงเลือกมาเขียน หากได้อ่าน Gospels ทั้งสี่เล่มประกอบรวมกันก็จะทำให้เราได้รู้จักและสัมผัส Jesus ในมุมที่ครบถ้วน


Gospel แปลว่า ข่าวดี (good news) ข่าวดีที่ว่าก็คือข่าวดีที่ Jesus นำมายังโลกนี้ ซึ่งก็คือคำสอน แต่ข่าวดีที่สำคัญที่สุดคือก็เสรีภาพของมนุษย์ทุกคนที่ได้หลุดพ้นจากบาปทั้งปวงโดยแลกกับความตายของ Jesus บนไม้กางเขน


สำหรับภาษาไทย ชาว Protestants เรียก Gospels ว่า "ข่าวดี" หรือ "พระเกียรติคุณ" ส่วนชาว Catholics จะใช้คำว่า "พระวรสาร"ค่ะ คริสตสมภพที่จะเล่าให้ฟังในครั้งนี้ผู้เขียนเลือกหยิบมาจาก Gospels ของ Mathew และ Luke เพราะมีรายละเอียดเรื่องการประสูติของ Jesus อยู่ค่อนข้างละเอียด



The Birth of John the Baptist Foretold: กำเนิดของยอห์นผู้ให้รับบัพติสมา


ก่อนที่จะทราบเรื่องราวการประสูติของ Jesus มีอีกหนึ่งบุคคลที่สำคัญมากที่เราควรจะต้องรู้จัก นั่นคือ John the Baptist เรื่องราวของ John มีบันทึกไว้ใน Gospel ของ Luke ค่ะ


เรื่องมีอยู่ว่ามีคู่สามีภรรยาอายุมากอยู่คู่หนึ่งคือนาง Elizabeth กับนาย Zechariah (เศคาริยาห์) ทั้งคู่ไม่มีบุตรเพราะนาง Elizabeth เป็นหมัน (barren) และอายุก็มากแล้ว วันหนึ่งฑูตสวรรค์ Gabriel ได้มาปรากฏกายต่อหน้า Zechariah แล้วบอกว่าท่านจะมีบุตรชาย และผองชนจะเปรมปรีดิ์ที่เด็กคนนี้เกิดมาเพราะเขาจะเป็นผู้นำพงศ์พันธุ์อิสราเอลหลายคนให้หันกลับมาหาพระเจ้า เขาจะเป็นผู้ตระเตรียมชนชาติไว้ให้สมแก่พระเจ้า จงตั้งชื่อเขาว่า John (Luke: 13-16) นาย Zechariah ไม่เชื่อ Gabriel เพราะตนและภรรยาเป็นหมันและทั้งคู่ก็ค่อนข้างหงำเหงือกแล้วจะมีบุตรกับเขาได้อย่างไร ทว่าหลังจากนั้นไม่นานนาง Elizabeth ก็ตั้งครรภ์


พอนาง Elizabeth ก็ตั้งครรภ์ได้สักหกเดือน Gabriel ก็แวะมาหาญาติของ Elizabeth นั่นคือ Mary สาวพรหมจรรย์ซึ่งได้หมั้นหมายไว้แล้วกับนาย Joseph นายช่างซึ่งมีเชื้อสายมาจาก King David (กษัตริย์พระองค์ที่สองที่ปกครองอิสราเอล มีชีวิตอยู่ประมาณหนึ่งพันปีก่อนคริสตกาล) Gabriel ทักทายเธอว่าน่ายินดีจริงที่เธอเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า เธอจะตั้งครรภ์และเด็กน้อยคนนั้นจะได้เป็นใหญ่ เป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด Mary ซึ่งกำลังตกตะลึงก็ยิ่งงงงวยเข้าไปอีกว่าเธอเป็นสาวพรหมจรรย์ จะตั้งครรภ์ได้อย่างไร Gabriel ตอบว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์(The Holy Spirit) จะเสด็จลงมาบนตัวเธอ แล้วทุกอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ก็จะเป็นไปได้เองเพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าทำไม่ได้ ดูซิ ขนาดนาง Elizabeth อายุปูนนั้นแล้วยังป่องได้เลย ว่าแล้ว Gabriel ก็จากไป


ตอนที่ Gabriel นำข่าวการมาจุติของ Jesus มาบอกให้ Mary ทราบล่วงหน้านี้ ชาวคริสต์เรียกว่า "การประกาศของเทวฑูต" หรือ The Annunciation ค่ะ


3. ภาพ The Annunciation มี Gabriel กำลังบอกข่าวการมาจุติในครรภ์ของ Mary หญิงพรหมจรรย์ (ปฏิสนธินิรมล) ด้านบนที่เป็นนกเขาเป็นสัญลักษณ์ของ The Holy Spirit



The Birth of Jesus Christ: พระกำเนิดของพระเยซูคริสต์
ทางด้านนาย Joseph ไม่ได้รู้เรื่องที่ Mary ได้พบกับฑูตสวรรค์ Gabriel เลย พอรู้เข้าว่า Mary คู่หมั้นท้องป่องมาจากไหนไม่รู้ก็กระอักกระอ่วนใจ สมรับแต่งงานไปเพื่อรักษาหน้าให้ฝ่ายหญิงแต่ใจก็คิดไว้แล้วว่าว่าเสร็จงานนี้ได้หย่าแน่ๆ ทว่าทันใด Gabriel ก็มาบอก Joseph ว่าอย่าตกใจไป ครรภ์นี้เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยเดชของพระวิญญานบริสุทธิ จงเรียกเด็กคนนี้ว่า Jesus เพราะเขาจะเกิดมาเพื่อช่วยมนุษย์เพื่อให้รอดจากความผิดบาป นี่คือชะตาที่จะต้องเกิดขึ้นตามคำพยากรณ์(prophecy) ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเก่า (The Old Testament):



“The virgin will be with child and will give birth to a son, and they will call him Immanuel”—which means, “God with us.” (Isaiah 7:14)


มาถึงตรงนี้อาจงงๆว่าแล้วทำไม Jesus ไม่ได้ชื่อ Immanuel ตามที่คำพยากรณ์บอกไว้เล่า คำตอบก็คือว่า ชื่อของชาวฮีบรูว (Hebrew) เน้นความหมายที่เป็นนัยยะต่อตัวบุคคลหรือลักษณะเด่นของตัวบุคคลมากกว่าการเป็นชื่อที่เป็นคำเรียกค่ะ เช่นชื่อ Abraham แปลว่า ‘father of a multitude’ แปลว่า บิดาที่ให้กำเนิดบุตรมากมาย เพราะในประวัติศาสตร์นาย Abraham มีลูกไว้มากมายจริงๆ ถือเป็นบิดาประชากรโลกจำนวนมากชื่อ Immanuel นั้นเรายึดถือที่ความหมายที่เป็นนัยยะของ Jesus นั่นคือ ‘God with Us’ กล่าวคือ เขาจะเป็นพระเจ้าที่สถิตย์อยู่กับมนุษย์ เพราะ Jesus ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาที่เกิดมาก็ตายไป แต่เป็นพระเจ้าด้วยเช่นกัน อนึ่ง เราต้องทำความเข้าใจนิดนึงว่าทั้งพระบิดา พระบุตร และพระจิตหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเป็นสิ่งเดียวกัน(สามพระบุคคลเป็นหนึ่งเดียวกัน Jesus ก็คือ God และก็คือ The Holy Spirit ด้วย) เราเรียกว่า พระตรีเอกนุภาพ หรือ “The Holy Trinity” ค่ะ


4. The Holy Trinity เขียนเป็น diagram อธิบายว่าทั้งสามส่วนเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน


ส่วนชื่อ Jesus นั้นแปลว่า “Jehovah is salvation.” แปลว่า “พระเจ้าทรงช่วยให้พ้นบาป” เพราะ Jesus เกิดมาเพื่อไถ่ถอนบาปให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง ดังนั้นไม่ว่าจะชื่อ Immanuel หรือ Jesus ก็มีความหมายไปในเชิงเดียวกัน หมายถึงบุคคลเดียวกัน คำที่ใช้เรียก Jesus ในพระคำภีร์มีหลายคำค่ะ เช่น
  • Son of God (ทรงเป็นตรีเอกานุภาพ)
  • Son of Man (ทรงเป็นพระบุตรมาเกิดในร่างมนุษย์)
  • Son of David (ทรงสืบเชื้อสายมาจาก King David ดังที่กล่าวไปแล้ว)
  • Lamb of God (ทรงเป็นเครื่องสังเวยของพระเจ้าเพื่อไถ่บาปให้มนุษย์
  • Christ/ Messiah (ทรงเป็นผู้ที่ถูกเลือก “Anointed One”)
  • Savior (ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด)
  • Alpha and Omega (ทรงเป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบของทุกสรรพสิ่ง)
  • King of Kings/ Lord of Lords (ทรงเป็นราชาเหนือราชาทั้งปวง)

สังเกตว่าทุกคำที่หมายถึง Jesus, God และ Holy Spirit จะใช้ capital letters ทั้งหมดนะคะ เพราะเป็นการให้เกียรติและถือว่าพระตรีเอกนุภาพมีเพียงหนึ่งเดียว สำหรับชาวคริสต์พระตรีเอกนุภาพเป็นสิ่งศักสิทธ์ เราจึงไม่ควรกล่าวพระนามเล่นอย่างเลื่อนลอย ใช้เป็นคำอุทาน หรือนำมาสบถ (Blaspheme) แม้ด้วยความคึกคะนองนะคะ


The Birth of Jesus: พระกำเนิดของพระเยซู


ครั้งนั้น Caesar Augustus มีรับสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัว(census)ทั่วเขตการปกครองของ Roman ผู้คนต่างก็ต้องไปขึ้นทะเบียนยังเมืองของตน Joseph ซึ่งเป็นวงศ์วานของ King David ก็ต้องไปที่เมือง David พร้อมคู่หมั้นตน นาง Mary ซึ่งขณะนั้นท้องแก่เต็มที เวลาอย่างนี้ทุกโรงแรมในเมืองก็เต็มหมด เมื่อถึงกำหนดจึงประสูติบุตรชายในรางหญ้าในโรงเลี้ยงแกะแห่งหนึ่งในเมือง Bethlehem


แล้วฑูตสวรรค์องค์หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้ากลุ่มคนเลี้ยงแกะในทุ่งนา ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนแต่กลับสว่างไปด้วย aura ของฑูตสวรรค์องค์นั้นซึ่งได้กล่าวบอกแก่คนเลี้ยงแกะว่า คืนนี้มีข่าวดีเพราะพระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลายได้มาบังเกิดแล้ว พลันก็มี angels มาร่วมวงร้องสรรเสริญว่า

“Glory to God in the highest, and on earth peace to men on whom his favour rests.”


(แปล)
“พระศิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนบนพื้นโลก สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานนั้น” (Luke 2: 14)


5. การปรากฎตัวของทวยฑูติสวรรค์



คนเลี้ยงแกะเหล่านั้นจึงเข้าไปที่โรงเลี้ยงแกะ ก็พบ Mary และทารกน้อยดังที่ฑูตสวรรค์ได้บอกไว้ จึงพากันเข้าไปสรรเสริญทารกนั้น



6. ฉากสำคัญของ Nativity พระคริสต์ได้มาบังเกิดแล้วในรางหญ้า การประสูติในหญิงสามัญชนนี้แสดงให้เห็นว่าทรงมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนทุกวรรณะ


The Visit of the Magi: พวกโหราจารย์เข้าเฝ้าพระกุมาร

Jesus ได้ประสูติที่เมือง Bethlehem แคว้น Judea ในรัชสมัยของ King Herod I หรือ Herod the Great (73-74 ปีก่อนคริสตกาล) เมื่อประสูติแล้วก็มีพวกโหราจารย์จากทางตะวันออก(wise men) หรือเรียกว่า Magi (ไม่ใช่ซ้อสถั่วเหลือง) เดินทางมาที่กรุงเยรูซาเล็มและถามหาว่า “กุมารผู้ที่บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน” เหตุที่มาก็เพราะ Magi ทั้งสามได้แลเห็นดวงดาวสุกสว่างทางทิศตะวันออกจึงออกเดินทางมาตามหาดาวดวงนั้นเพื่อนมัสการ


7. Herod the Great
8. Magi ออกเดินทางหาดาวสุกสว่างดวงนั้น


ทว่าเมื่อ Herod I ได้ทราบเรื่องเข้าก็วุ่นวายพระทัยเกรงว่าชะรอยทารกน้อยนี่จะมีดวงเป็นผู้นำชาวยิวมาทำการปฏิวัติล้มล้างบัลลังก์ตนหรือเปล่า จึงประชุมปรึกษาบรรดามหาปุโรหิตและได้ความว่าตามคำทำนายของผู้เผยพระวัจนะนั้นเด็กคนนี้มีดวงเกิดมาเป็น “the shepherd of my people Israel” (Mathew 2:6) แปลเป็นนัยว่าจะกลายเป็นผู้นำชนชาติอิสราเอลซึ่งเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกแล้วนั่นเอง Herod I จึงออกอุบายหลอกใช้ Magi ว่าหากพบทารกดังกล่าวขอให้บอกตนด้วย จะได้ไปขอนมัสการด้วยคน แต่พวก Magi รู้ทันเล่ห์เหลี่ยม เกรงว่าทารกน้อยจะถูกอุ้มฆ่า เมื่อได้พบทารกแล้วจึงไม่ได้ส่งข่าวให้ Herod I รับรู้


Magi ทั้งสามได้ให้ของกำนัลแก่ทารกน้อยคนละชิ้นเป็นเครื่องบรรณาการ คือทองคำ(gold) กำยาน(frankincense) และมดยอบ(myrrh) ของทั้งสามชิ้นมีนัยยะสำคัญทางความหมาย กล่าวคือ gold เป็นสัญลักษณ์ของความดีงาม ความบริสุทธิ์สูงค่า ส่วน frankincense นั้นมีความหมายเชื่อมโยงกับพิธีกรรมและการอธิษฐาน และ myrrh เป็นของหอมที่ชาวอิสราเอลใช้ในพิธีศพ ถือเป็นสัญลักษณ์ของความตายและความโศกเศร้า ของกำนัลทั้งสามชิ้นเป็นเสมือนตัวแทนของสิ่งที่ Jesus จะต้องเผชิญในภายภาคหน้า นัยว่าพระองค์เป็นบุคคลสูงค่าที่เกิดมาเพื่อตายเพื่อมวลมนุษย์ทั้งปวงนั่นเอง


9. The Adoration of Magi หรือ The Visit of the Wisemen



The Escape to Egypt: การประหารทารก

เมื่อพวก Magi กลับไปแล้ว ฑูตสวรรค์ก็ได้ปรากฏกายขึ้นเพื่อเตือน Joseph ให้พาภรรยาและทารกน้อยหนีไปอียิปต์ เพราะ Herod I กำลังตามล่าทารกนี้อยู่ ทั้งครอบครัวเลยต้องลี้ภัยไปอยู่ในเขตอันปลอดภัยในประเทศอียิปต์ ขณะนั้น Herod I รู้ตัวว่าถูก Magi เบี้ยวเสียแล้วก็โกรธมาก สั่งฆ่าทารกเพศชายในเขต Bethlehem และดินแดนใกล้เคียงทั้งหมดไม่ให้มีเหลือ (The Massacre of the Innocents)

ส่วน Joseph และครอบครัวเก็บตัวอยู่ในอียิปต์จน Herod I สวรรคต ฑูตสวรรค์จึงมาบอกให้กลับไปอิสราเอลได้ ทว่าขณะนั้น Herod Archelaus โอรสของ Herod I ได้ปกครอง Judea อยู่ ด้วยความไม่มั่นใจในความปลอดภัย Joseph จึงพาครอบครัวไปอยู่ที่ Galilee ในเมือง Nazareth แทน



John the Baptist Prepares the Way: ยอห์นผู้ให้รับบัพติสมามาประกาศ


John the Baptist ลูกของนาง Elizabeth ที่เกิดก่อน Jesus หกเดือน (คงยังจำได้นะคะ) และเป็นผู้ที่ชะตากำหนดมาให้เกิดก่อนเพื่อทำพิธีสำคัญให้กับ Jesus นั่นคือ บัพติสมา หรือ ศีลจุ่ม(Catholic เรียกว่า ศีลล้างบาป ซึ่งเป็นการใช้น้ำชะระล้างบาปกำเนิด และเป็นการแสดงตัวว่าได้เข้าเป็นสมาชิกของศาสนจักรแล้ว สมัยนี้บางโบสถ์ก็จะใช้น้ำพรมที่ศีรษะ บางโบสถ์ก็ให้จุ่มลงในน้ำไปทั้งตัวเหมือนการรับบัพติสมาจาก John ในแม่น้ำจอร์แดน) ขณะนั้น John ได้ประกาศแก่ผู้คนที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้าว่า “จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” ชาวบ้านแถบลุ่มน้ำจอร์แดนต่างก็ออกมาหา John เพื่อสารภาพความผิดบาป และรับบัพติสมาจากจอห์นในแม่น้ำจอร์แดนนั่นเอง แล้ว John ผู้รู้ลิขิตชะตาก็ได้ประกาศแก่ผู้คนว่า

10. John the Baptist

“I baptize you with water for repentance. But after me will come one who is more powerful than I, whose sandals I am not fit to carry. He will baptize you with the Holy Spirit and with fire.” (Mathew 3: 11)



(แปล)
“เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติสมาด้วยน้ำ แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่ควรแม้จะถอดฉลองพระบาทพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ”



The Baptism of Jesus: พระเยซูทรงรับบัพติสมา

แล้ว Jesus ก็เดินทางมาจาก Galilee เพื่อมารับบัพติสมา แต่ John ผู้เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดารู้สึกเป็นการมิบังควรที่เขาจะอาจเอื้อมให้บัพติสมาแก่ Jesus ทว่า Jesus ก็ว่าทำไปเถิด มันเป็นสิ่งที่ชอบธรรมแล้ว เมื่อ Jesus รับบัพติสมาแล้วท้องฟ้าก็เปิดออก และ Jesus ก็เห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกเขา ลงมาสถิตย์อยู่บนพระองค์ และมีเสียงตรัสจากสวรรค์ว่า “This is my Son, whom I love; with him I am well pleased.” (Mathew 3: 17)


11. The Baptism of Jesus ณ แม่น้ำจอร์แดน


และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวชีวประวัติของ Jesus ค่ะ ต่อไปนี้ทุกครั้งที่ Christmas Eve มาเยือน นอกจากเราจะรู้ว่าใครเป็นใครใน The Nativity ที่ทางโบสถ์หรือตามร้านค้านำมา display แล้วเราก็คงเข้าใจถึงความซาบซึ้งของชาวคริสต์ในฐานะที่เป็นวันที่ศาสดามาจุติเพื่อความรอดของมนุษย์ทั้งปวงแล้วนะคะ
Merry Christmas ค่ะ

References:

Photo Courtesy:

1.http://www.catholicfaithstore.com/Store/Products/Item/-73/1/Antique-Silver-Nativity-Set-4-inches-high_7894.html?MO=Y

2.http://www.historyofscience.com/G2I/timeline/index.php?category=Religious+Texts+%2F+Religion

3.http://www.saint-max.org/rosary/annunciation_opt.jpg
4. http://atschool.eduweb.co.uk/carolrb/christianity/christian_beliefs.html
5.http://www.turnbacktogod.com/birth-of-jesus-christ/
6.http://pepdoh.org/NEWSLETTER%20NOV_DEC_%202008.htm
7.http://www.telegraph.co.uk/news/uknews/1550943/Tomb-of-King-Herod-discovered-in-West-Bank.html
8.http://pepdoh.org/NEWSLETTER%20NOV_DEC_%202008.htm
9. http://commons.wikimedia.org/wiki/File:The_visit_of_the_wise-men.jpg
10.http://www.saint-max.org/rosary/baptism_of_jesus_opt.jpg









วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

High Heels: สารพัดส้นสูง


สมัยนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารองเท้า โดยเฉพาะรองเท้าส้นสูง เป็นความคลั่งไคล้ของสาวๆหลายคน ยากนักที่จะพบสาวสักคนที่มีความจงรักภักดีต่อรองเท้าเพียงคู่หรือสองคู่เท่านั้น ยิ่งสมัยนี้วัสดุและกระบวนการผลิตแบบ mass production ทำให้ได้รองเท้าที่ราคาถูกลง เมียงมองไปตามร้านค้า ในห้างหรูจนถึงตลาดนัด เราจะพบแบบรองเท้ามากหน้าหลายตาหลากลูกเล่นจริงๆ คราวนี้เลยสนใจอยากจะเจาะแฟชั่นรองเท้าส้นสูง ขุดกันจนถึงรากเหง้าความเป็นมาให้รู้กันไปว่ามนุษย์เราผูกพันกับรองเท้าทรมานส้นมาเนิ่นนานเพียงใดแล้ว

รองเท้าที่นับว่าคลาสสิค อมตะนิรันด์กาล เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นผู้หญิงยุคใหม่ (ที่ไม่ชอบเดินให้มันสบายๆ) ก็คือรองเท้าส้นสูง (high-heeled shoes หรือ high heels หรือจะเรียกว่า heels เฉยๆก็ได้) จริงๆแล้วถ้าความสูงของส้นรองเท้าไม่เกิน 2.5 inches จัดว่าเป็น low heels (inches คือ ‘นิ้ว’ ที่เป็นหน่วยวัด ไม่ใช้คำว่า fingers นะคะ) ประมาณ 2.5-3 inches เป็น mid heels และถ้าสูงกว่านั้นก็จะเรียกว่าเป็น high heels ได้เต็มปากเต็มคำค่ะ

รองเท้าส้นสูงนี้อยู่คู่กับอารยธรรมมนุษย์เรามาช้านาน ภาพวาดของชาวอียิปต์ในในสมัยโบราณเมื่อประมาณ 4,000 BC บ่งบอกว่าพวกชนชั้นสูงและคนทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ใส่รองเท้ามีส้นเพื่อให้ดูแตกต่างจากชาวบ้านเท้าเปล่าหรือรองเท้าแบนๆธรรมดา แต่ขณะเดียวกันคนฆ่าสัตว์ (butcher) ก็ใส่รองเท้าที่มีพื้นสูงเพื่อเวลาเดินเท้าจะได้ไม่เปื้อนคราบเลือดที่นองอยู่บนพื้น นักแสดงชาวกรีกโรมันโบราณใส่รองเท้ามีส้นเพื่อจะได้ดูเก๋กว่าคนทั่วไป ทว่ารองเท้าส้นสูงในพื้นที่ค้าประเวณี (red zone) ก็เป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่าแม่สาวคนนี้เป็นหญิงบริการ ในประเทศญี่ปุ่นมีรองเท้าโบราณอยู่สองประเภทคือ zori (รองเท้าแบนๆสานจากหญ้าแห้ง) และ geta (เกี๊ยะนั่นเอง) geta ได้รับการปรับระดับให้สูงขึ้นเพื่อสวมใส่กับชุด kimono นอกจากจะทำให้ผู้ใส่ดูสวยงามสง่าแล้วยังช่วยกันไม่ใช้ชาย kimono เลอะน้ำครำด้วย เห็นได้ว่านอกจากรองเท้าส้นสูงจะได้วิวัฒนาการมาให้เหมาะสมกับการใช้งานแล้วยังเป็นสัญลักษณ์ทางสังคมที่หลากหลายอีกด้วย



1. 'Kothorni' (platform shoes) รองเท้าโบราณที่ยกพื้นให้สูงขึ้นเล็กน้อยของชาวอียิปต์โบราณ
2. Geta ในญี่ปุ่น



ในศตวรรษที่ 14-16 มีรองเท้าส้นสูง(จริงๆ)ที่เรียกว่า 'chopines’ ซึ่งเป็นรองเท้าไม้ที่เสริมส้นให้สูงขึ้น และแพร่กระจุยในยุโรปโดยเฉพาะในราชสำนักอิตาลีและสเปน chopines เคยวิวัฒนาไปจนสูงม๊ากมากขนาดยี่สิบกว่านิ้วก็มี สูงเสียจนกระทั่งผู้สวมใส่จะต้องมีสาวใช้สองข้างคอยประคองเดินกันเลยทีเดียว ต่อมา chopines จึงเริ่มกลายเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกฐานะของผู้สวมใส่ เพราะคนรวยจัดเท่านั้นถึงจะมีเงินขนาดคอยจ้างสาวรับใช้เพื่อรองเท้าเก๋ๆสักคู่



3. Chopines
4. ภาพวาด chopines ระดับสูง



หลักฐานการเป็นอยู่คืออย่างเป็นทางการของรองเท้าส้นสูงคู่แรกๆนั้นเล่าขานกันว่าเหตุเกิดเพราะแม่สาวน้อย Catherine de Medici (1519-1589) เกิดต้องคลุมถุงอภิเษกกับท่าน Duke of Orléans แห่งราชวงศ์ Valois ราชโอรสคนที่สองของกษัตริย์ Francis I (ต่อมาท่าน Duke ได้ครองราชบัลลังก์ฝรั่งเศสในปี 1536 ในนาม Henri II ) แม่หนู Catherine อายุเพิ่งจะ 14 ชันษา ตัวเล็กนิดเดียวแต่ต้องเข้าอภิเสกงานใหญ่โต จึงให้ช่างรองเท้าจากบ้านเกิดเมือง Florence เพิ่มส้นรองเท้าของตนให้สูงขึ้นสองนิ้ว ทำให้หนูน้อยดูสูงขึ้นทันตา แถมเวลาเดินก็แลดูสง่างามด้วย รองเท้ามีส้นสัญชาติอิตาเลียนจึงเริ่มกลายเป็นที่นิยมในหมู่ชาววังฝรั่งเศส ในหน้าประวัติศาสตร์ช่วงๆนั้นในยุโรป รองเท้าส้นสูงได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของราชนิกูรผู้มีอันจะกิน จนเกิดมีคำคุณศัพท์ ‘well-heeled’ หมายถึงบุคคลที่มีอำนาจและความมั่งคั่ง


5. ภาพวาดพิธีอภิเสกสมรสระหว่างหนุ่มสาวทั้งคู่


รองเท้าส้นสูงมิได้ป๊อปปูล่าในแวดวงของสตรีเท่านั้น ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ (Louis XIV: 1638-1715) ก็ทรงโปรดการใส่รองเท้ามีส้น อาจเพราะทรงมี ‘Napoleon Complex’ (นโปเลียนเป็นจักรพรรดิ์ที่ยิ่งใหญ่ทว่ารูปร่างค่อนข้างสัดทัด— เตี้ยไม่สมความเกรียงไกร ทรงให้ช่างภาพวาดภาพตัวเองสูงใหญ่กว่าความเป็นจริง Napoleon Complex จึงเป็นศัพท์หมายถึงชายที่มีอำนาจแต่อับอายในความไม่สูงใหญ่ของตน) อาจจะเพราะ Louis XIV ก็ทรงมีพระวรกายที่ไม่สูงนักจึงได้โปรดการใส่ส้นเพิ่ม รองเท้าของพระองค์เสริมส้นด้วยไม้ cork และสูงได้ถึงห้านิ้ว ทรงให้ประดับประดาด้วยริบบิ้น และวาดลวดลายชัยชนะจากการทำศึกของพระองค์ไว้ที่ส้นรองเท้าด้วย พระองค์ดูจะทั้งรักทั้งหวงรองเท้าส้นสูงมากถึงขั้นออกพรบ. (decree) ห้ามมิให้สามัญชนหน้าใดใส่รองเท้าส้นสูง ‘สีแดง’ (les talons rouges) ผู้ที่จะสามารถใส่ส้นสูงแดงในวังได้ก็ต้องเป็นผู้ที่มีสืบเชื้อ DNA มาจากราชตระกูลและต้องเป็นบุคคลที่หลุยส์ทรงโปรดปรานเท่านั้น และแม้ได้รับอนุญาตให้ใส่ talons rouges แล้วก็ต้องระวังห้ามมิให้ส้นรองเท้าสูงกว่าพระองค์ด้วยเป็นเด็ดขาด รองเท้าส้นสูงจึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการแบ่งวรรณะและการเมืองอย่างเห็นได้ชัดมากในรั้ววังฝรั่งเศสสมัยนั้น


6. เหล่าขุนนางที่มีอภิสิทธิ์ได้ใส่เกือกแดง
7. Portrait of Louis XIV

มรดกตกทอดจาก Louis XIV ก็คือส้นรองเท้าที่เรียกว่า ‘Louis Heels’ มีลักษณะเป็นส้นที่คอดกิ่วตรงกลาง ดูอ่อนช้อย ปัจจุบันก็ยังเป็นที่นิยมในหมู่ดีไซน์เนอร์อยู่เพราะรูปคลาสสิคสง่างามได้อารมณ์รั้ววังฝรั่งเศส



8 Louis Heels

ความนิยมรองเท้าส้นสูงทำให้สาวๆหลายนางพันเท้าให้เล็กเรียวเพื่อให้เท้าดูน่าทะนุถนอมใส่รองเท้าส้นสูงได้งดงามแลดูน่าหมายปองสำหรับหนุ่มๆ ปรากฏการณ์นี้ทำให้ชาวคริสต์เคร่งที่เรียกตัวเองว่า Puritans ในรัฐ Massachusetts (สมัยที่สหรัฐอเมริกายังเป็นอาณานิคมของอังกฤษในช่วงประมาณศตวรรษที่ 16-17) ออกกฏหมายห้ามหญิงสาวใส่รองเท้าส้นสูง เพราะเป็นเสมือนสัญลักษณ์กวักมือเรียกเพศตรงข้าม ไม่สมเป็นกุลสตรี มีโทษเทียบเท่ากับการเป็นแม่มด (witch) เลยทีเดียว ผ่านพ้นไปจนเข้ากลางศตวรรษที่ 19 โน่นกว่าทางฝั่งอเมริกาจะสามารถยอมรับรองเท้าส้นสูงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตได้

แม้ทางฝั่งยุโรปเองที่สุดแล้วรองเท้าส้นสูงก็ได้รับการต่อต้านเพราะเป็นเครื่องหมายแห่งความไม่เท่าเทียม รองเท้าส้นสูงในฝรั่งเศสจึงตายไปพร้อมกับ Louis XVI และพระนาง Marie Antoinette ในการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี 1789


รองเท้าส้นสูงกลับมา en vogue (in style) อีกครั้งในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ต้องขอบคุณวิวัฒนาการของจักรเย็บผ้า (sewing machine) ที่ทำให้บรรดาช่างสามารถสรรค์สร้างรองเท้าได้สวยงามหลากหลายและสะดวกขึ้น กระนั้นกระแสต่อต้านรองเท้าส้นสูงก็ยังคงมีควบคู่กันมาตลอดโดยเฉพาะประเด็นเรื่องความยั่วยวนเกินงามและการเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้สวมใส่ แต่ด้วยความสวยมิอาจห้ามใจ รองเท้าส้นสูงจึงมาแรงแซงคำเตือนอย่างยิ่งในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 (The Roaring Twenties) จนกระทั่งช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง ทรัพยากรขาดแคลน เศรษฐกิจตกต่ำ ส้นสูงจึงสูงและหนาแต่เพียงพอดีเข้ากับยุคสมัย
เมื่อหลังสงครามโลกสิ้นสุดลง วงการรองเท้าก็เริ่มเริงร่าได้อีกครั้ง ยิ่งพอมี miniskirts ออกมาในช่วง 60s (ปี1960-69) ความนิยมในการนุ่งสั้นเสริมส้นโชว์เรียวขาก็พุ่งกระฉูด


9. สาวๆกับ miniskirts และ heels ในยุคนั้น

แต่แล้วกระแสก็เริ่มมอดลงเพราะเกิดกระแส feminism ที่หญิงสาวด้วยกันเองมองว่าการใส่ส้นสูงก็ไม่ต่างจากการใส่ corset (ชุดรัดทรงให้สาวๆมีเอวกระจิดริดซึ่งฮอทฮิตในยุโรปในสมัยก่อน แน่นยิ่งกว่าชุดโอนามิสมัยนี้เสียอีก) หรือการพันเท้าของสาวจีนโบราณที่ทำไปเพื่อให้ผู้ชายพอใจ(ว่ามีเมียเท้าเล็กน่าทะนุถนอม เดินเองยังไม่ได้ จึงต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนแต่โดยดี) การใส่ส้นสูงเท่ากับเป็นการยอมทำตัวเป็นวัตถุทางเพศให้แก่ฝ่ายชาย กอปรกับกระแส Hippies บุปผาชนในช่วงกลางๆยุค 60s ความนิยมในความสูงของส้นจึงลดลงเหลือเพียงแผ่นรองเท้าแบนๆติดดิน เช่นพวกรองเท้าสานที่เรียกว่า sandals




10. a sandal
11. Hippies ในยุค 60s


ส้นกลับมาสูงอีกครั้งในช่วง 70s ไม่เชื่อลองไปดูรองเท้าของ John Travolta ในเรื่อง Saturday Night Fever ได้เลย เราเรียกส้นหนาๆสูงๆ หรือส้นตึกของยุคนี้ว่า ‘disco platform’ ค่ะ stereotype ของคนยุคนี้เป็นอะไรที่ซาบซ่ามาก ชอบลองของใหม่ sex, drugs and fashion แรงๆทั้งนั้น รองเท้าก็เช่นกัน ทั้งแบบและสีสันฉูดฉาด ลวดลาย psychedelic (ลายวนไปวนมา) ผมทรง Afro ทั้งหมดเป็น trademark ของยุค 70s


12. วง Disco Freaks ย้อนรอยหนุ่มสาวแบบ Disco
13. รองเท้าแบบ Disco ในยุค 70s

พอเข้ายุค 80s กระแสต่อต้นรองเท้าส้นสูงก็ยิ่งแผ่วลงไปอีก feminists หลายคนเริ่มเปลี่ยนความคิดใหม่ และลงความเห็นว่าการใส่ส้นสูงนั้นมิได้เป็นการต้องกระทำเพื่อให้เพศตรงข้ามอภิเชษฐ์เสมอไป หากเป็นความพึงพอใจของผู้หญิงเอง เพราะได้สร้างความงามให้กับตนเองต่างหาก มองในมุมนี้รองเท้าส้นสูงจึงเป็นสิ่งแสดงออกซึ่งอำนาจ ความเชื่อมั่น และความเป็นตัวของตัวเองของหญิงสาว
เหลือเชื่อว่าครั้งหนึ่งรองเท้าส้นสูงเคยถูก banned เพราะเป็นสัญลักษณ์แห่งความไม่เท่าเทียมทางสังคม เพราะทุกวันนี้รองเท้าส้นสูงกลายเป็นสัญลักษณ์ของสตรีสมัยใหม่ ใคร ban รองเท้าส้นสูง คงจะต้องถูกตราหน้าว่าละเมิด freedom of expression ของสาวๆยุคใหม่แน่นอน



พอเข้าปลายศตวรรษที่ 20 รองเท้าส้นสูงก็ได้เข้ามาเจิดจรัสอยู่ใน spotlight และดูเหมือนจะสืบเนื่องยาวนานมาจนทุกวันนี้ ส้นรองเท้าและแบบของรองเท้าก็ได้รับการวิวัฒนาให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
พูดถึงตัวพ่อของวงการส้นสูงยุคใหม่นี้ก็ต้องขอยกให้กับ Mr. Roger Vivier (1907-1998) ดีไซน์เนอร์ชาวฝรั่งเศสผู้ได้ออกแบบรองเท้าส้นสูงเล็กเรียวแหลมคู่แรกของโลกที่เรียกกันว่า Stiletto heels ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีมีอุปสงค์ท่วมท้น Mr. Vivier ยังเป็นผู้ออกแบบรองเท้าที่ Queen Elizabeth II (องค์ปัจจุบันนั่นเอง) ใส่ในวันงานขึ้นครองราชย์ด้วย (the coronation)
14. Mr. Roger Vivier


ในปี 1953-1963 Mr. Vivier ได้ออกแบบรองเท้าให้กับ Christian Dior และได้ทิ้งมรดกทางความสร้างสรรค์ไว้ให้กับรองเท้าส้นสูงปัจจุบันด้วยลูกเล่นสารพัด ทั้งผ้าไหม ลูกปัด ลูกไม้ ไข่มุก กระทั่งอัญมณี รองเท้าที่สร้างชื่อให้ Mr. Vivier ที่สุดอีกชิ้นเห็นจะเป็น ‘Pilgrim Pump’ ที่ Catherine Deneuve ใส่เล่นเรื่อง La Belle Jourpump’ คือรองเท้าหุ้มส้น ลักษณะก็คือรองเท้าคัทชู (court shoes) นั่นเองค่ะ ส่วน ‘pilgrim shoes’ คือรองเท้าเชยๆแบบโบราณที่นิยมใส่กันสมัยล่าอานานิคม (Colonialism) แต่ Mr. Vivier เอามาปัดฝุ่นเสียใหม่ อัพส้นและสไตล์เสียจนเก๋กู๊ด เดี๋ยวนี้มีให้เห็นทั่วไป แต่ตอนออกมาใหม่ๆนั้นเป็นอะไรที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อนเลยจริงๆ


15. รองเท้า pilgrim pump แบบมาตรฐานโบราณ
16. pilgrim pump ของ Vivier ที่ปัดฝุ่นใหม่แล้ว
17. pilgrim pump limited edition ตัวล่าสุดของ Vivier คราวนี้เป็นส้น stiletto ประดับด้วยคริสตัล Swarovski


ตัวพ่ออีกคนที่สาวๆศตวรรตที่ 21 จะต้องรู้จักก็คือ Manolo Blahnik (1942-) นักออกแบบรองเท้าสายเลือดสเปน(แต่ร่ำเรียนที่ฝรั่งเศสและทำงานที่อังกฤษ ปัจจุบันมีร้านรองเท้าอยู่แทบจะทั่วโลก Blahnik ไม่สนใจส้นสูงกระแสหลักที่เป็นพื้นหนาเทอะทะแนว platform จึงหันมา focus กับส้นรองเท้าที่ดูเพรียวบางเช่นเดียวกับ Mr. Vivier จะว่าไปส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณซีรี่ส์เรื่องดัง Sex and the City ฉากที่นางเอกโดนปล้นมุมตึกและได้ขอร้องคุณโจรว่า “…จะเอาอะไรก็เอาไปเถิด กระเป๋า Fendi สร้อย แหวน นาฬิกา แต่อย่าเอา ‘Manolo’ คู่นี้ของดิฉันไปเลย” นั่นก็เพราะนอกจากความสวยสะดุดของดีไซน์แล้ว ราคารองเท้าของ Manolo นั้นราคาอยู่ที่คู่ละ 300-400 ยูเอสดอลล่าร์เลยทีเดียวค่ะคุณผู้ชม!


18. Mr. Manolo Blahnik กำลังเซ็นรองเท้า
19. แบบ sketch อันบาดทรวงของรองเท้าตระกูล Manolo


เป็นที่ยอมรับกันอย่างเป็นเอกฉันทร์ว่ารองเท้าของ Manolo นั้นสวยสมราคาทีเดียว รองเท้าที่ถือว่าเป็นตำนานของตัวพ่อคนนี้คือรองเท้าส้นสูงแบบ ‘ไร้ส้น’ (heeless) ซึ่งออกมาให้ได้ยลเมื่อปี 2006 ค่ะ



ที่เลือกหยิบมานี่ก็เป็นเพียงสองตัวพ่อจากหลายๆตัวพ่อตัวแม่ทั้งที่ทำแบรนด์เองและทำงานให้กับแบรนด์ดังระดับโลก เพราะเดี๋ยวนี้รองเท้าส้นสูงก็ออกมาแข่งขันกันอย่างร้อนแรงเหลือเกิน


ขอตบท้ายบทความนี้ด้วยคำศัพท์ในวงการส้นสูงก็แล้วกันนะคะ ลักษณะส้นที่เรารู้จักไปแล้วก็คือ stiletto ซึ่งเป็นส้นเพรียวบาง เวลาเดินควรถ่ายน้ำหนักไปด้านหน้าเหมือนเดินด้วยปลายเท้าค่ะ ส้นแบบ cone คือส้นที่ใหญ่ด้านบนแล้วค่อยๆเล็กเพรียวลงมาด้านล่างเหมือนโคนไอศกรีม ส้นแบบ spool คือส้นแบบ Louis Heels มีลักษณะคอดตรงกลางคล้ายๆนาฬิกาทราย ส้นแบบ wedge บ้านเราเรียกว่าส้นเตารีดค่ะ ส่วนรองเท้าแบนๆไม่มีส้นเรียกว่า flat shoes หากกิ๊บเก๋ทำเป็นหุ้มส้นด้วยคล้ายๆรองเท้าบัลเลต์ก็จะเรีกว่า ballet flats ค่ะ

ส่วนลักษณะลูกเล่นของรองเท้าก็มีหลากหลายทีเดียว รองเท้าหัวแหลมเรียกว่า pointed toe ถ้าหัวเปิดให้เห็นนิ้วเท้าบ้างเรียกว่า peep toe ค่ะ เราสามารถสร้าง combination เพื่อบรรยายลักษณะรองเท้าเองได้เช่น peep toe pump ก็คือรองเท้าแบบคัทชูหุ้มส้นแต่เปิดให้เห็นนิ้วเท้านิดนึง


ส้นแบบ cone, wedge และ ballet flat

สำหรับรองเท้าที่ออกจะเปลือยๆ ไม่มีหุ้มส้น มีเพียงเส้นๆสายๆพาดไปมาอย่างเซ็กซี่เรียกว่า strappy shoes ค่ะ จะสร้าง combination เป็น strappy wedge หรือ strappy ballet flats ตามที่เรียนมาตะกี้ก็ได้

สำหรับลูกเล่นเก๋ๆของรองเท้าส้นสูงทั้งหลาย ถ้าเป็นรองเท้าที่ติดเลื่อมวิ้งๆแพรวพรายเรียกว่า shoes with sequins มีขอบทองๆเรียกว่า with gold trim มีหมุดคือ with studs ถ้าหรูหรามีเครื่องประดับเช่นเข็มกลัดติดอยู่ด้วยก็ with brooch หรือเรียกรวมๆว่า with ornament ค่ะ ส่วนรองเท้าที่ตกแต่งด้วยผ้าขยุ้มๆขยุกขยุยเรียกว่า shoes with ruffle detail ค่ะ


High-heeled shoes with sequins, with ruffle detail และ strappy heels

ใส่รองเท้าแฟชั่นทั้งหลาย ถ้าโดนกัดก็ต้องเรียกหาตัวช่วย ‘กันกัด’ ภาษาอังกฤษเรียกว่า comfort shoe halter ค่ะ ริจะใส่รองเท้าส้นมหัศจรรย์พวกนี้แล้วก็ต้องอย่าลืมดูแลสุขภาพน่องและเท้าด้วยนะคะ

References:
http://en.wikipedia.org/wiki/High-heeled_footwear
http://www.japan-zone.com/culture/footwear.shtml
http://www.randomhistory.com/1-50/036heels.html
http://www.lifeinitaly.com/fashion/high-heels.asp
http://www.footwearhistory.com/highrenwomens.shtml
http://washingtoncube.blogspot.com/2006/12/red-high-heels.html
http://www.shoeblog.com/blog/viviers-pilgrim-shoes/
http://designmuseum.org/design/manolo-blahnik

Photos courtesy:
1. http://en.citizendium.org/wiki/Geta
2. http://mathongbantitasourcebook-natty.blogspot.com/2009_11_01_archive.html
3. http://houseofkhan.blogspot.com/2009_04_01_archive.html
4. http://www.probertencyclopaedia.com/cgi-bin/res.pl?keyword=Chopine&offset=0
5. http://www.art.com/products/p12627254-sa-i1633619/jacopo-da-empoli-the-marriage- of-catherine-de-medici-and-henri-ii-1533.htm
6 and 7 http://les8petites8mains.blogspot.com/2010/07/la-veste-de-velours-rouge-de-sylvie.html
8. http://houseofkhan.blogspot.com/2009_04_01_archive.html
http://www.bustledress.com/cgi-bin/z.pl/reset/room3222.html
9. http://justfad.blogspot.com/2009/01/miniskirts-galore.html
10. http://shoestutor.com/what-are-hippie-sandals
11. http://dyn.politico.com/members/forums/thread.cfm?catid=1&subcatid=1&threadid=3424908
12. http://www.nealshelton.com/DiscoFreaks/disco-freaks.htm
13. http://www.backwhenradiowasboss.com/
14. http://www.fiaf.org/events/fall2007/2007-fall-fashion-talks.shtml
15. http://arcticboy.arcticboy.com/picture-of-pilgrim-shoes
16 and 17. http://www.millionlooks.com/tag/beth-levine/
18. http://blog.manoloblahnikretail.com/2010/03/
19. http://www.shoes-addiction.com/2010/03/09/manolo-blahnik/
20. http://www.lucidnewyork.com/blog/index.php/life/zac-posen-fall-2010-shoes-manolo-blahnik-for-zac-posen/

วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Gargoyles, Grotesques และ Chimeras


1. Gargoyle กำลังระบายน้ำขณะฝนตก
2. Gargoyle รูปมังกรจาก St. Vitus Cathedral/ Czech Republic


Gargoyle (การ์กอยล์) เป็นรูปปั้นตัวประหลาด เป็นสัตว์สามัญบ้าง มังกรบ้าง สัตว์ผสมบ้าง คนบ้าง ระบุ species ไม่ได้บ้าง มักมีหน้าตาตลก ประหลาด หรือถึงขั้นน่าเกลียดน่ากลัว เราพบเห็นพวกมันได้ตามแนวรางน้ำหรือผนังด้านนอกของอาคารหรือวิหารเก่าๆสมัยยุคกลาง

ในทางสถาปัตยกรรม gargoyles เป็นรูปปั้นสไตล์ Gothic (ศิลปกรรมยุคกลาง มีลักษณะมืดๆ อึมทึม ลึกลับ ผีหลอก ทว่าสง่างาม ดังที่เคยกล่าวถึงในบทก่อนๆ ) gargoyles ใช้เพื่อการตกแต่งอาคาร (ornaments) บรรดาอาคารก่ออิฐหรือหินสมัยก่อนถ้าพอมีงบประมาณมาละเลียดกับรสนิยมผู้สร้างเสียหน่อยก็จะให้สถาปนิกรวมร่างเจ้า gargoyles ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับช่องระบายน้ำฝนที่ยื่นออกมานอกตัวอาคาร (draining spouts) หรือจากแนวระเบียงอาคาร เพื่อช่วยควบคุมทิศทางการระบายน้ำฝนที่ตกลงมาให้พุ่งออกไปให้ไกลจากตัวอาคาร น้ำฝนจะได้ไม่ไหลมั่วซั่วกระจายไปชะแนวร่องอิฐ (mortar) และจะได้ไม่ชะพื้นบริเวณรอบอาคารให้สึกกร่อนเร็วจนเกินไป

คำว่า gargoyle มาจากคำว่า ‘gargouille’ (การ์กุย) ในภาษาฝรั่งเศส แปลว่า คอหอย หรือหลอดอาหาร (gullet ในภาษาอังกฤษ) คำนี้ยังสอดคล้องกับคำกริยาภาษาฝรั่งเศส ‘gargariser’ หรือ gargle ในภาษาอังกฤษ แปลว่า กลั้วคอ นั่นเอง เวลาฝนตกน้ำฝนก็จะรวมตัวกันไหลพุ่งออกมาจากปากของ gargoyles ราวกับว่าพวกมันกำลังกลั้วน้ำฝนบ้วนลงพื้นมาอย่างน่ารักน่าชังนั่นเอง



ตำนานกล่าวว่า ครั้งหนึ่งมีมังกรคอยาวและบินได้ชื่อเจ้าการ์กุย (La Garguille สันนิษฐานว่าได้ชื่อนี้มาเพราะเสียงกลั้วน้ำกลั้วไฟในลำคอของมัน) มันทำตัวชั่วร้ายพ่นไฟพ่นน้ำทำลายหมู่บ้านและรังควาญผู้คนในแคว้น Rouen (รูออง) ในฝรั่งเศส ชาวบ้านต้องคอยหานักโทษหรือหญิงสาวพรหมจรรย์มาเซ่นสังเวยให้กับมันเพื่อแลกกับความสงบสุข จนกระทั่ง Saint Romanus (เดิมเป็น Bishop of Rouen ที่ปรึกษาของ Clotaire II กษัติรย์ราชวงศ์ Merovingian มีชีวิตอยู่ในช่วงต้น-กลาง ค.ศ. 600) รับปากว่าจะช่วยกำจัด La Gargouille ให้หากชาวบ้านตกลงยอมนับถือศาสนาคริสต์ สร้างโบสถ์ และรับศีลจุ่มเสียให้เป็นเรื่องเป็นราว (be baptized) เมื่อชาวบ้านตกลง Saint Romanus ก็ใช้กางเขน (crucifix) สะกดเจ้า Gargouille และได้จัดการเผาทำลายมัน ทว่าช่วงหัวถึงคอของ La Gargouille ไม่ยอมมอดไหม้ไปด้วย จึงถูกนำไปหลอมเข้ากับกำแพงโบสถ์เพื่อเอาไว้ขู่วิญญาณชั่วร้าย และเป็นการประกาศศักดาว่าสัตว์ร้ายตัวนี้ได้สยบต่ออำนาจของพระผู้เป็นเจ้าของคริสตศาสนาแล้ว ชาวบ้านที่ไร้ศาสนา (pagans) ก็จะได้บังเกิดความศรัทธาและยอมรับศาสนาใหม่ได้ การ์กุยติดผนังหัวนี้กลายเป็น model สำหรับ gargoyles ที่อยู่ตามโบสถ์วิหารในรุ่นหลัง โดยเฉพาะในยุคกลาง สถานที่ๆมี gargoyles อยู่มากน่าดูชมแห่งหนึ่งก็คือมหาวิหาร Notre Dame de Paris

3. หน้าต่างกระจกสี (stained glass window) แสดงภาพ Saint Romanus กำลังปราบ La Gargouille





4. แนว gargoyles ที่เรียงรายทำหน้าที่ระบายน้ำยามฝนตกที่ Notre Dame de Paris

เมื่อกาลเวลาผ่านไป gargoyles ก็มีมากหน้าหลายตาขึ้น ไม่ได้มีแต่แค่มังกรคอยาวอย่างเดียว แต่เป็นสัตว์สามัญต่างๆ หรือสัตว์ประหลาดไปเลยก็มี สำหรับรูปสัตว์ นิยมใช้สัตว์ที่มีนัยยะทางคริสตศาสนาได้แก่สัตว์ที่เป็นตัวแทนบาปหนักเจ็ดประการ (The Seven Deadly Sins) ได้แก่
สิงโต แทนความยะโส (pride)
งูเห่า แทนความอิจฉาริษยา (envy) ดังเช่นงูเห่าซาตานที่อิจฉามนุษย์จนมาล่อลวงอีฟและนายอดัม
หมูป่า แทนความโกรธแค้น (anger)
ลา หรือลิง แทนความเฉื่อยความขี้เกียจ (sloth)
หมาป่า แทนความละโมภ (greed)
หมี แทนความตะกละ (gluttony)
หมู หรือแพะ แทนความร่านราคะ (lust)



5. Gargoyle หมูป่า (ข้างๆเป็นชายเลี้ยงแกะ) ที่ St. Barbara's Cathedral/ Czech Republic
6. Gargoyle แพะที่ Notre Dame de Paris

อันที่จริง gargoyles หรือตัวระบายน้ำนี้มีใช้กันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณไม่ใช่แค่ในยุโรป ก่อนยุคกลางมีการพบซาก gargoyles ในอาฟกานิสถาน กรีก และเอธิโอเปีย ทำจากหินแกะสลักเป็นรูปต่างๆและมีรูเพื่อระบายน้ำฝน เทคโนโลยีการระบายน้ำฝนออกจากอาคารนี่ก็มีมานานแล้วทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออก



7. Gargoyles โบราณที่ไม่ใช่สัญชาติยุโรป
8. Japanese gargoyles ที่วัด Daitokuji ญี่ปุ่น
9. รางระบายน้ำรูปหัวห่านที่ Changdeokgung Palace กรุงโซล เกาหลีใต้



ในปัจจุบันเราใช้ท่อพีวีซี อลูมิเนียม (aluminum) สเตนเลส (stainless) หรือไวนิล (vinyl) ต่อรางน้ำเพื่อระบายน้ำฝนให้ลงมาตามท่อที่ต่อสู่พื้นอย่างนุ่มนวล ถ้าเราไม่ได้ประดับรูปปั้น gargoyle เราก็เรียกมันว่า draining spout, waterspout หรือ gutter ก็พอนะคะ

10. รางระบายน้ำไวนิลในปัจจุบัน


สำหรับตัวประหลาดหน้าตาน่าเกลียดที่พบเห็นเคียงคู่กับ gargoyles แต่ไม่ได้ทำหน้าที่พ่นน้ำตอนฝนตกนั้น ในทางเทคนิคเราเรียกพวกนี้ว่า grotesques (อ่านว่า ‘โกรเทสเกอะ’ แปลว่าอัปลักษณ์แบบขนลุกซู่) แต่สมัยนี้คำว่า gargoyles กับ grotesques มีความหมายทับซ้อนไปเสียแล้วเพราะถือว่าอย่างไรเสียก็เป็นตัวอัปลักษณ์นอกกำแพงเหมือนๆกัน เจ้าพวก grotesques นี้ชื่อก็บอกอยู่แล้ว จะอัปลักษณ์จนน่าขันหรือน่ากลัวก็แล้วแต่จินตนาการของคนปั้นจะรังสรรค์ ดูภาพกันเอาเองดีกว่า


11. Grotesques น่ารักน่าชังที่ Oxford University, UK

ส่วนเจ้า Chimera (อ่านว่า ‘ไคเมร่า’ ไม่ใช่ ‘ชิมิร่ะ’) จะว่าไปก็คือ grotesques ประเภทหนึ่ง แต่ลักษณะเฉพาะคือจะเป็นสัตว์ผสมอย่างน้อยสอง species ขึ้นไป เช่น griffins (ตัวเป็นสิงห์มีปีกอันแข็งแกร่งเหมือนนกอินทรีย์), harpies (ครึ่งบนเป็นหญิงสาว มีปีก ครึ่งล่างทั้งหมดเป็นนก) และ mermaids (ครึ่งบนเป็นหญิงสาว ครึ่งล่างเป็นปลา) แต่เดี๋ยวนี้ chimeras ก็ครอบคลุมไปถึง grotesques ที่เป็นสัตว์ประหลาดอื่นๆได้เช่นกัน หน้าที่ของเหล่า grotesques และ chimeras ก็คือการเฝ้ายาม คุ้มกันมิให้มีวิญญาณชั่วร้ายมาแผ้วพานอาคาร grotesques ที่อลังการงานสร้างน่าไปดูก็คงไม่พ้นที่มหาวิหาร Notre Dame de Paris พวกมันนั่งเฝ้าอยู่บนระเบียงชั้นบน ชะโงกหัวออกไปมองผู้คนที่ผ่านไปมา บ้างก็ว่าตกกลางคืนพวกมันก็ออกบินสำรวจเมืองให้อีกต่างหาก


12. เหล่า chimeras บน Notre Dame de Paris

สำหรับคนรัก gargoyles และ grotesques ก็ไม่ต้องห่วงว่าพวกมันจะสูญพันธุ์ไปตามกาลเวลาเพราะร้านค้าเอาใจผู้มีรสนิยมโกธิคทั้งหลายได้ผลิต gargoyles แบบโมเดิร์นที่ทำจากวัสดุราคาไม่แพง สามารถเอามาใช้เป็นรางน้ำได้จริง หรือจะเอามาประดับน้ำพุก็ยังได้


13. ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้คลั่งไคล้ gargoyles

นอกจากนี้อาคารสมัยใหม่บางแห่งก็สร้างเลียนแบบศิลปกรรมโกธิคแถมยังได้ปรับแต่งให้ gargoyles และ grotesques มีรูปลักษณ์เข้ากับยุคสมัยเสียด้วยเช่น



14. Gargoyles หัวนกอินทรีย์ทำจาก stainless steel ที่ Chrysler Building, New York City

15. Gargoyle หัว Darth Vader เป็นตัวแทนความชั่วร้าย ผลงานออกแบบได้รางวัลที่สามของเด็กน้อยจาก Nebraska แกะสลักไว้ที่ Washington National Cathedral

16. Grotesque ตัวนี้ใส่แว่นอ่านหนังสืออยู่ที่ City College บนถนน 137 ใน New York

17. และสุดท้าย...โถฉี่ gargoyles กลั้วน้ำกันให้อร่อยไปเลย เอื๊อกส์









References:

http://en.wikipedia.org/wiki/Gargoyle

http://www.mythicalrealm.com/creatures/gargoyle.html

http://www.notredamedeparis.fr/Gargoyles-and-Chimera

http://gottesblog.blogspot.com/2007/03/legend-of-gargoyle.html

http://www.ponddoc.com/WhatsUpDoc/Statuary/Gargoyle.html

http://historyiselementary.blogspot.com/2010/01/13-gargoyles-grotesques-and-chimerasoh.html

http://weburbanist.com/2009/11/15/gargoyles-from-gothic-garglers-to-grotesque-guardians/





Photo Courtesy (in numerical order)


1. http://3.bp.blogspot.com/_st-nYVIHAHw/R-xSaH7omDI/AAAAAAAAABU/y5f2A7TEKMY/s1600-h/garg+water.bmp


2. http://www.richard-seaman.com/Travel/CzechRepublic/Highlights/index.html

3.
http://www.vernon-visite.org/colleg/info/info7.htm

4.
http://commons.wikimedia.org/wiki/File:Gargoyles_(Notre-Dame_de_Paris_-_South_Fa%C3%A7ade).jpg

5.
http://www.rutlandguttersupply.com/blog/CategoryView,category,gargoyleRoofScupper.aspx

6. http://www.flickr.com/photos/8040300@N05/2352816263

7.
http://weburbanist.com/2009/11/15/gargoyles-from-gothic-garglers-to-grotesque-guardians/

8. http://www.danhagerman.com/JapanPhoto7.htm

9. http://citycritics.blogspot.com/2007/04/blog-post_1974.html

10. http://www.plazathai.com/show_pic.php?img=38f1723174419dc970288e826833fc25.jpg

11. http://www.pbase.com/ekchua/oxford_city_gargoyles

12. left: http://www.2idiotsinaboat.com/pilgrim/archives/2002_04.html
middle: http://www.travelblog.org/Photos/453043
right: http://www.dailyventure.com/journal.php?day=NotreDame

13. left: http://inventorspot.com/articles/design_a_gargoyle_goes_with_everything_15626
right:http://www.rutlandguttersupply.com/blog/2009/08/28/GargoyleRainSpoutRoofScupper.aspx
14. http://www.waymarking.com/waymarks/WM3M4P_Chrysler_Building_New_York

15. http://weblog.sinteur.com/index.php/2007/03/30/darth-vader-is-watching-you-from-the-washington-national-cathedral/

16. http://ephemeralnewyork.wordpress.com/category/upper-manhattan/

17. http://www.aigoo.com/category/fun/