วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553
Dracula และ Vampire
Dracula เป็นนิยายขายดีของ Bram Stoker เขียนเสร็จในปี 1897 เป็นนิยายจำพวก gothic novel คือนิยายที่มีโทนมืดๆ อึมๆ ผีๆ เร้นลับ ระทึกขวัญ สไตล์เดียวกับสถาปัตยกรรมโกธิคที่ถือกำเนิดขึ้นในฝรั่งเศสในยุคกลาง ช่วงประมาณศตวรรษที่ 12 โน่น ลักษณะเด่นของ gothic ที่สังเกตเห็นได้ตามโบสถ์เก่า วิหารเก่า ปราสาทหินที่ปัจจุบันดูร้างๆ อึมทึม ก็คือมียอดแหลมสูง (pointed) ซุ้มประตูโค้งแคบๆ (pointed arch) มีครีบกำแพงค้ำยัน(flying buttress) ดูสง่างามน่าเกรงขาม ตัวอย่างเช่นมหาวิหาร Notre Dame de Paris
สถาปัตยกรรมแบบนี้ถูกแทนที่ด้วยศิลปะที่ดูสว่างเจิดจรัสหรูหราวิจิตรแบบ Renaissance ในศตวรรษที่ 16 แต่ต่อมาในช่วงกลางๆศตวรรษที่ 16 ก็มีผู้คนบางส่วนเกิดถวิลหาความงดงามแบบ gothic จึงเกิดความพยายามที่จะโปรโมตศิลปะแนวนี้ขึ้นอีกครั้งในอังกฤษ (Gothic Revival) เราเรียกเดอะรีเทิร์นออฟโกธิคครั้งนี้ว่า Victorian Gothic หรือ Neo-Gothic ค่ะ ในวงการวรรณกรรมช่วงๆเดียวกันนี้ก็ได้รับอิทธิพลของการฟื้นฟูศิลปะแบบ gothic นี้ด้วยเช่นกัน gothic novel เรื่องแรกที่ได้รับการยอมรับทั่วกันเป็นผลงานของ Horrace Walpole นักเขียนชาวอังกฤษ เรื่อง The Castle of Otranto เมื่อปี 1764 นับเป็นงานชิ้นแรกๆที่ใช้ฉากเป็นปราสาทร้าง และเน้นการกระตุกขวัญผู้อ่านให้เกิดอาการประหวั่นพรั่นพรึงขนหัวลุกซู่
เรื่อง Dracula จึงได้รับอิทธิพลมาจากงานเขียนแนวเขย่าขวัญนี้เอง เรื่องนี้เป็น fiction นะคะ คือเป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้น ไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นได้ว่าคุณ Stoker ผู้เขียนนั้น ปั้นตัวละครขึ้นโดยอิงจากบุคคลจริงในศตวรรษที่ 15 คือ กษัตริย์แห่งโรมาเนียแห่งเมือง Wallacia ทางตอนเหนือของแม่น้ำ Danube
กษัตริย์พระองค์นี้มีตัวตนอยู่จริงในช่วงปีค.ศ. 1431 – 1476 พระนามนั้นคือ Vlad III (หรือ Vlad Tepes) แต่ยังทรงมี nickname ที่ชาวบ้านเรียกเสริมต่อท้ายให้ว่า Vlad III the Impaler (impale [v] = เสียบ หรือแทงด้วยของปลายแหลม ไม่ว่าจะเป็น มีด ไม้ หรือเหล็กแหลม แบบที่พนักงานราชฑัณฑ์สมัยก่อนใช้ทรมาน หรือประหารนักโทษ) ที่ทรงได้ nickname นี้มาก็ชัดเลยเชียวว่าเป็นเพราะความระห่ำโหดในการจัดการกับนักโทษของพระองค์นั่นเอง สมัยนั้นโรมาเนียต้องสู้รบตั้งรับกับการแผ่ขยายดินแดนของจักรวรรดิ์ออตโตมาน (Ottoman Empire) Vlad III เองก็มีความคับแค้นพระทัยส่วนพระองค์อยู่แล้วเพราะพระชายาพระองค์แรกโดดหอคอยลงมาสวรรคตในแม่น้ำเพื่อหนีการเป็นเชลยศึกของพวกออตโตมาน ส่วนพระบิดาและพระเชษฐาก็ถูกพวกออตโตมานสังหารไปด้วยเช่นกัน
วิธีการทรมานเชลยของ Vlad III นั้นเท่าที่ทราบก็คือ พวกเชลยเชื้อพระวงศ์จะถูกบังคับให้เป็นแรงงาน (labour/ labor) และทำงานจนเสื้อผ้าขาดวิ่นหลุดหมดจนต้องทำงานทั้งร่างกายเปลือยเปล่า ในที่สุดก็จะหิวโหย เหนื่อย และหนาวตายไป แต่ถ้าอยู่ได้นานหน่อย พระองค์ก็จะทรงย่นเวลาด้วยการจับมาเสียบไม้แทน
เรื่องราวการทรมานนักโทษของพระองค์ได้ถูกนำไปเติมไข่ใส่สี (exaggerated) ให้น่าสยดสยองยิ่งขึ้นในยุโรปตะวันตก (เชื่อว่าเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองโดยฝีมือของพวกที่เข้าข้าง Ottoman นั่นเอง) เว่อร์กันว่าพระองค์ทรงสังหารโหดนักโทษไปราวๆ 80,000-100,000 ชีวิต ในเยอรมัน พระองค์ถูกเรียกว่าทรราชย์ (tyrant) และก็ได้เว่อร์กันว่าวิธีการสังหารของพระองค์มีทั้งการเสียบ เผาทั้งเป็น ถลกหนัง ต้มเปื่อย ตัดแขนขา หรือถ่วงน้ำ และเอาเนื้อนั้นไปให้เป็นอาหารของญาติมิตรสหายของผู้ตายเอง
วิธีที่ทรงโปรดปรานสุดๆก็คือการ ‘ค่อยๆเสียบ’ ทรงมีเหล็กแหลมหลายขนาดและรูปร่าง การเสียบเป็นการประหารที่ทรมานมาก เหล็กที่เสียบจะอาบน้ำมันและต้องไม่คมมาก นักโทษจะได้ไม่ตายในทันที อาจเสียบทะลุอก หรือเสียบก้นจนทะลุออกทางปาก ให้ร่างค่อยๆไหลตามเสาเหล็กลงมาในแนวดิ่ง ก็แล้วแต่จะทรงสร้างสรรค์ นักโทษจะค่อยๆตายอย่างช้าๆซึ่งอาจกินเวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวันหลังการเสียบ ศพนั้นก็จะถูกปล่อยให้เน่าเหม็นและย่อยสลายไปเอง บ้างก็ว่า Vlad III เสียบนักโทษ(ที่กำลังเน่าเปื่อยผุพัง)ไว้เป็นดงป่าเพื่อข่มขวัญกองทัพของคู่ต่อสู้ที่ยกเข้ามาประชิดปราสาท
ภาพ: ภาพพิมพ์แกะไม้ โชว์ Vlad III กำลัง enjoy eating พลางทัศนาบรรดาเหยื่อที่ถูกเสียบ ข้างๆเป็นพนักงานราชทัณฑ์ กำลังจัดการตัดชิ้นส่วนของนักโทษ
เรื่องราวจริงบ้างเสริมแต่งบ้างของ Vlad III โด่งดังมากในเยอรมันขนาดที่พบหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นบทละครในรั้วในวังเรื่อง Von ainem wutrich der hies Trakle waida von der Walachei (Story of a Madman Called Dracula of Wallachia) ของ Michel Beheim และจัดแสดงต่อหน้าพระพักตร์ของ Frederic III ในปี 1463 เรื่องราวของ Vlad III กลายเป็นวรรณกรรมคลาสสิคไม่เฉพาะในเยอรมันเท่านั้น ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ที่รัสเซียก็มีเรื่อง Skazanie o Drakule voevode (The Tale of Warlord Dracula)
สำหรับ Dracula version ของ Stoker ที่เราคุ้นเคยนั้น เป็นไปได้สูงว่า Stoker ไปได้ยินได้อ่านเรื่องราวของ Vlad III แล้วเกิดแรงบันดาลใจ เอามายำกับตำนานยุโรปท้องถิ่น (folklore) เรื่องเกี่ยวกับ vampires และ werewolves เดิมทีเข้าใจว่า Stoker จะใช้ชื่อตัวละครผีตนนี้เป็น Count Wampyr แต่เปลี่ยนใจมาคว้าชื่อ Dracula แทน อันชื่อ Dracula นี้เป็นสกุลยศที่ตกทอดมาจากพระราชบิดาของ Vlad III นั่นคือ Vlad II Dracul คำว่า ‘Dracul’ มีความหมายว่า ‘Dragon’ ในภาษาอังกฤษ Vlad II ได้ทำความดีความชอบในการสู้รบกับพวกออตโตมานเติร์ก เมื่อมีลูกชาย Vlad III จึงได้เป็น ‘Dracula’ แปลว่า ‘Son of the Dragon’ นั่นเอง เชื่อมโยงชื่อได้ขนาดนี้แล้วจึงมีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียวที่เราจะสรุปว่า Stoker ได้ขอยืมชื่อ Dracula นั้นมาจาก Vlad III แห่งโรมาเนีย ผู้มีสายเลือด Transylvanian ตรงตามลักษณะตัวละครในนิยาย ทั้งปราสาทท่าน Count ก็อยู่ในโรมาเนีย การสังหาร vampire ก็เป็นการเสียบหน้าอกด้วยเหล็กแหลม วิธีเดียวกับที่ Vlad III ใช้ทรมานเชลย
ถึงตรงนี้เราลองมาศึกษาตำนานเรื่อง vampires ที่มีมานมนานก่อนที่นิยายเรื่อง Dracula จะเขียนขึ้นเสียอีกนะคะ ตำนานเรื่องภูติผีในร่างคนนี้มีเล่าขานกันมานานนับพันปีในหมู่ชาวเมโสโปเตเมีย และกรีกโรมันโบราณโน่น แต่ที่เป็น vampire แบบที่เรารู้จักกัน ในนิยายเรื่อง Dracula ก็คงจะมาจากตำนานของชาวสลาฟ (Slavic folklore) ในยุโรปตะวันออก สมัยที่คริสตศาสนายังเดินทางไปไม่ถึง ชาวสลาฟเชื่อเรื่องวิญญาณและผีบรรพบุรุษ เมื่อคนตาย วิญญาณจะออกจากร่างและวนเวียนอยู่แถวนั้นเป็นเวลาหลายสิบปีจึงจะไปสู่ชีวิตนิรันดร์หลังความตาย วิญญาณ หรือ ผี ก็มีทั้งดีและร้าย ขึ้นอยู่กับว่าผู้ตายเป็นคนดีหรือไม่ และได้ประกอบพิธีศพอย่างถูกต้องหรือไม่ วิญญาณร้ายสามารถปรากฏกายโดยอาศัยร่างของสัตว์ หรือซากศพ เพื่อกลับมาแก้แค้น หรือทำร้ายคนเป็นได้ vampire ก็คือวิญญาณร้ายที่สิงอยู่ในซากคน คอยกินเลือดคนเป็นเพื่อหล่อเลี้ยงร่างที่เน่าผุของมัน
ส่วนค้างคาว(bat) และ นกฮูก(owl) เป็นสัตว์ที่ชาวยุโรปเชื่อมโยงเข้ากับความลี้ลับเหนือธรรมชาติมานมนานเพราะพฤติกรรมหากินกลางคืน (nocturnal habit) ของพวกมัน (จะให้ vampire มีร่างสัตว์เป็นหมีกริซลี่หรือสัตว์ป่าหน้าขนอื่นๆคงไม่เหมาะ) ส่วนค้างคาวดูดเลือดตัวจริงเสียงจริง (vampire bats) นั้นได้ถูกค้นพบในอาฟริกาใต้ในช่วงศตวรรษที่ 16 หลังจากที่พวกนิยาย vampire ขายดีไปแล้ว เลยได้ชื่อ vampire bats เพราะนิสัยหาเหยื่อกินเลือดตอนกลางคืนของมันนั่นเอง
ดังนั้นสรุปได้ว่า Dracula ก็คือชื่อของ vampire ตัวหนึ่ง เหล่าผี vampires นั้นมีลักษณะแตกต่างกันไปบ้างตามแต่จินตนาการของนักเขียนจะรังสรรค์ ในแบบของ Stoker เป็นตาแก่หนวดขาว มีเมียสามตัว อาศัยอยู่ในปราสาทเดียวกัน (ส่วนรายละเอียดที่เหลือไปซื้อหาอ่านเองละกันนะคะ) ลักษณะสากลของ vampires คือ นอนโลง ตัวซีด กินเลือดสด และถ้าใครถูกกัดคนนั้นก็จะได้รับเชื้อกลายเป็น vampire ไปด้วย (เหมือนการกินน้ำลายกระสือบ้านเราเลย) เหาะเหินเดินอากาศได้ มีเวทมนต์ เกรงกลัวกระเทียม(garlic) กางเขน(crucifix) และน้ำมนต์(holy water)
เรื่องราวเกี่ยวกับ vampires และนิยายฮอทฮิตอย่าง Dracula กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเขียนทั้งนิยายและบทหนังหลายคน เราคงคุ้นๆกันกับเรื่อง Buffy the Vampire Slayer, Interview with the Vampires, Van Helsing และล่าสุด Vampire Twilight ในสามเรื่องหลัง vampires จะเป็นชายหนุ่มสะอาดสะอ้าน พูดจามีการศึกษาและดูน่ากินเป็นพิเศษนะคะ ว่ามั๊ย?
<ข้อมูลอ้างอิงจาก wikipedia สารานุกรมออนไลน์ค่ะ>
http://en.wikipedia.org/wiki/Vlad_III_the_Impaler
http://en.wikipedia.org/wiki/Vampire
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น