วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ว่าด้วย Salad Dressings


อันเนื่องมาจากคำถามอันเดียงสาของสมาชิกหน้าหล่อใน webboard บทความฉบับนี้จึงขอนำเสนอเรื่องน้ำสลัดชนิดต่างๆ (salad dressing(s) คือน้ำสลัด อย่าริเรียก salad water เชียวนะคะ) รู้จักไว้จะได้มีประดับภูมิปัญญา เวลาไปทานอาหารกับฝรั่งหรือไปเข้าร้านอาหารบ้านเขาจะได้ดูเป็นผู้รอบรู้ ชีวิตมีตัวเลือกและได้กินของอร่อยได้หลากหลายขึ้น


(น้ำสลัดกินได้กับอาหารหลายหลาก จะผักสดผักต้ม เนื้อสัตว์หรือใส่ sandwich และ wrap ลองคลุกข้าวหรือใส่ก๋วยเตี๋ยวดู อาจอร่อยตราตรึง)

อันว่าบ้านเราเวลาสั่งสลัดกับร้านทั่วไปก็จะได้มายองเนสมาเป็นของคู่กัน อันว่ามายองเนส (Mayonnaise หรือ Mayo) นั้นฝรั่งใช้ราดสลัดกันในสมัยสงครามโลก ตอนสภาวะอาหารขาดแคลน ชีวิตเลือกกินไม่ได้นัก การสั่งสลัดกินกับมายองเนสในสมัยนี้จึงเป็นอะไรที่สมถะ (ถ้าไม่นับว่าไร้รสนิยม) แต่สมัยนี้มีสูตรอาหารใหม่ๆมากมาย น้ำสลัดเองก็ผสมผสานเกิดขึ้นมีเป็นพันๆชนิด สำหรับคราวนี้เอาชนิดหลักๆที่มีตามร้าน พอเก๋ๆ ไปศึกษาดูก่อนนะคะ จะไล่เรียงจากน้ำสลัดกินง่ายรสคุ้นเคยก่อนก็แล้วกัน

Salad Cream: ชื่อก็ชัดเจนอยู่ว่าคืออะไร อันนี้เป็นน้ำสลัดที่ธรรมดา standard มากค่ะ salad cream มีน้ำมันพืช (vegetable oil) ไข่แดง (egg yolk) ส่วนผสมไม่ซับซ้อนอะไร จริงๆก็คล้าย mayonnaise แต่ใส่ในสัดส่วนที่ต่างกัน จะปรุงให้รสออกเปรี้ยวด้วยน้ำส้มสายชู หรือออกหวานด้วยน้ำตาลก็แล้วแต่จะโปรด salad cream รับประทานกันแพร่หลาย ทานคู่สลัดหรือทา sandwich ก็ได้


Thousand Islands: เป็นน้ำสลัดสัญชาติอเมริกันยอดฮิตที่พบเห็นได้ทั่วไป รสชาติหอมมัน เปรี้ยวนิดๆ กินง่าย เนื้อค่อนข้างข้น สีจะออกส้มๆอมชมพู ส่วนประกอบหลักคือ mayonnaise, ซอสมะเขือเทศ (ketchup) และซอสเผ็ดทาบาสโก (Tabasco sauce) ว่ากันว่าชื่อนี้คงได้มาจากตอนที่ดาราสาว May Irwin และสามีไปเที่ยว Thousand Islands ซึ่งเป็นเขตท่องเที่ยวหนึ่งในนิวยอร์ค She ได้เข้าพักที่รีสอร์ตเล็กๆและได้ชิมน้ำสลัดแบบใหม่นี้ She ติดใจมาก ได้ขอสูตรจากพ่อครัว ตั้งชื่อมันว่า Thousand Islands แล้วก็เอามาเผยแพร่นั่นเอง




Honey Dijon: อ่านว่า ‘ฮันนี่ ดิฌง’ (ใช้ ‘ฌ’ แทนเสียงก้องของเสียง ‘sh’) แน่นอนว่าต้องมีน้ำผึ้งเป็นส่วนประกอบหลัก ส่วน Dijon นั้นเป็นชื่อของมัสตาร์ดชนิดหนึ่งสีอ่อนแต่รสเข้มข้น บางครั้งผู้ผลิตอาจผสมไวน์หรือน้ำผลไม้ลงไปด้วย นับเป็นสินค้าขึ้นชื่อของเมือง Dijon ในฝรั่งเศส แต่เดี๋ยวนี้ก็หากินได้ตามซุปเปอร์ทั่วไป จากนั้นก็ผสมกับ vegetable oil, mayonnaise เป็นอันเสร็จ รสชาติหวานหอมกลมกล่อมแอบเผ็ดมัสตาร์ดขึ้นจมูกเล็กน้อยเท่านั้น



French Dressing/ Italian หรือ Vinaigrette : ชื่อฟังดูมีรสนิยมทีเดียว น้ำสลัดแบบนี้เหมาะกับผู้ที่ลดความอ้วนเพราะส่วนผสม(ingredients)จะเบาๆ ส่วนผสมหลักคือน้ำส้มสายชู (vinegar) หรือน้ำส้มสายชูหมักที่มีกลิ่นจะตุ่ยๆเฉพาะตัวอย่าง Balsamic vinegar น้ำมันสลัด (salad oil) และอาจปนสมุนไพร (herbs) หรือ เครื่องเทศ (spices) เล็กน้อยพอไฮโซ หากผสมไวน์หรือส่วนผสมที่ทำให้มีสีแดงเรื่อๆลงไปด้วยก็จะเรียกว่า French Dressing นั่นเอง สำหรับน้ำสลัด Italian นั้นก็คือการผสมน้ำมันมะกอก (olive oil) และไม่ได้มีกำเนิดจากประเทศอิตาลีแต่อย่างใด แป่วว




Caesar: ชื่อนี้ได้มาจากเมนูสลัดแบบบังเอิ๊ญบังเอิญจากร้าน Caesar Cardini ในซานดิเอโก มิได้มีประวัติเกี่ยวดองกับ Julius Caesar ตามที่เข้าใจกัน แต่อาจเป็นเพราะนิยมกินกับผักกาดโรมัน ก็เป็นได้ (Roman or Romaine lettuce เรียกอย่างนี้เพราะมันมีก้านยาวและหัวฟูๆแบบเสาโรมันมั้ง: ภาพด้านล่างขวา) ส่วนผสมก็จะมี น้ำมันมะกอกปนกระเทียมสับ (olive oil with crushed garlic) พริกไทยดำบด (ground black pepper) น้ำส้มสายชูปนไวน์ (wine vinegar) น้ำมะนาว (lime or lemon juice) ไข่แดงลวกไม่สุกมาก (coddled egg yolk ) วอสเตอร์ซอส (Worcestershire sauce รสชาติคล้ายจิ๊กโฉ่นั่นแหล่ะ) พามเมซอนชีสแบบขูด (grated parmesan cheese แบบที่อยู่บนโต๊ะร้าน pizza company) และที่เป็น trademark เลยก็คือ ขนมปังกรอบชิ้นเล็กๆที่เรียกว่า croutons แถมโรยด้วยเบคอนทอดกรอบสับเป็นชิ้นเล็กๆ (bacon bits) กรุบกรอบหอมมันน่าดูเชียว


Ranch: คำว่า Ranch ในภาษาอังกฤษแปลว่าฟาร์มปศุสัตว์ น้ำสลัดแบบนี้มีส่วนผสมที่หาได้จากฟาร์มค่ะ นั่นก็คือ buttermilk (นมหมักซึ่งจะเปรี๊ยวๆข้นๆหนืดๆ) หรือไม่ก็ใช้ sour cream (ครีมหมักรสเปรี้ยว) โรยด้วยต้นหอมสับ (minced green onion) หรือผงกระเทียม (garlic powder) ก็กินได้แล้ว รสชาติออกเปรี้ยวและมีกลิ่นตุ่ยพอประมาณบางครั้งฝรั่งเขาก็ใช้ Ranch เป็นน้ำจิ้ม (dipping) จิ้มกินกับผักสดเช่นแครอท ขึ้นช่ายแบบต้นใหญ่ (celery) บร็อคเคอรี่ ขนมปังกรอบ หรือกับของทอดก็ได้ค่ะ




Blue Cheese: สุดยอดน้ำสลัด เพราะมีกลิ่นราตุ่ยๆที่เฉพาะตัวมากๆ ใครลิ้นไม่อินเตอร์มิควรบังอาจตักราดทีละมากๆ เพราะทำจาก blue cheese (ชีสที่หมักบ่มจนราขึ้นสีเขียวๆฟ้า เป็นที่มาของชื่อชีสชนิดนี้ ดูความสยองในภาพ) mayonnaise, sour cream, vinegar นม ผงหัวหอมกระเทียมและผงมัสตาร์ด (dry mustard) น้ำสลัดชนิดนี้เข้มข้นทั้งรสชาติและมวลจึงนิยมใช้เป็น dipping ด้วยเช่นกัน



พอหอมปากหอมคอกันแล้วนะคะ หากจะลองทำเองดูก็ได้ น้ำสลัดในโลกนี้มีไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชนิด เช่น แค่ใส่เต้าเจี้ยวลงไปใน thousand islands ก็กลายเป็นสูตรใหม่ได้แล้ว หัวใจสำคัญคือมันกินกับสลัดแล้วอร่อยนั่นเอง ขอให้โชคดีกับการทดลองค่ะ คริๆ




























วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Spring Myth

จะสิ้นฤดูกาลสอบไล่แล้ว ฤดูใบไม้ผลิก็กำลังจะจากลาเราไปเช่นกัน บทความคราวนี้จึงขอเสนอเรื่องที่ว่าทำไมเราจึงไม่อาจมีฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อนที่มีอากาศสดใสได้ตลอดไปค่ะ

ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกับฤดูทั้งสี่ทางซีกโลกตะวันตก เริ่มกันที่ Spring หรือฤดูใบไม้ผลิ (ต้นกล้าอ่อนๆและยอดไม้มันผุดเด้งออกมาจากดินและกิ่งอ่อนเลยเรียก spring ค่ะ) ประมาณช่วงเดือนมี.ค. - พ.ค. เมื่อใบไม้ดอกไม้บานสะพรั่งเต็มที่ก็เข้าสู่หน้าร้อน summer คือฃ่วงประมาณ มิ.ย.-ส.ค. และเมื่อสรรพสิ่งได้เติบโตสวยงามเต็มที่แล้วก็ได้เวลาเริ่มโรยรา ต้นไม้ใหญ่ก็พากันสลัดใบให้ร่วงกราวในช่วงฤดู autumn หรือ fall (แปลกันทื่อๆก็คือฤดู 'หล่น' ใบไม้ร่วงนั่นเอง) ราวๆก.ย.-พ.ย. และในที่สุดความหนาวเหน็บของ winter ก็มาเยือน ต้นไม้เล็กๆก็หนาวตายไป ต้นไม้ใหญ่ก็จะอดทนรอจนกว่า spring จะมาเยือนอีกครั้ง ในหนึ่งปีก็จะเป็นวัฏจักรนี้หมุนเวียนกันไป คนอังกฤษจึงให้คุณค่ากับสภาพอากาศที่สดใสมากเพราะในหนึ่งปีเกาะอังกฤษมีเวลาที่จะได้รับแสงแดดและดูดอกไม้สั้นเหลือเกิน อย่าแปลกใจหากได้เห็นพวกเขานอนตากแดดเป็นปลาเค็มในหน้าร้อนแบบไม่เกรงมะเร็งผิวหนัง



ในตำนานเทพปกรณัม (mythology) นั้น Ceres (Demeter) คือเทพีแห่งธัญญาหารและความอุดมสมบูรณ์ Image ของ Ceres คือผมสีทองดั่งรวงข้าว บางทีก็เอามาประดับผม ในมือมักถือฟ่อนธัญญพืช หรือผลผลิตทางการเกษตร ไม่ก็เคียว แต่จะไม่ถือถุงปุ๋ยหรือนั่งแทรกเตอร์





Ceres มีลูกสาวสุดเลิฟที่เกิดกับ Zeus อยู่หนึ่งคนคือ Kore หรือชื่อที่คุ้นคือ Proserpine/ Proserpina/ Prosperina (Persephone) เป็นเทพแห่งฤดูใบไม้ผลิคงจำได้จาก article ที่แล้วนะคะว่า Venus เคยส่ง Psyche มาขอความงามจากหล่อนที่ใต้โลก เดิมทีหล่อนมิได้อยู่ใต้โลก แต่มีชีวิตที่สดสัยสมวัยอยู่กับแม่ของหล่อนบนผิวโลกใต้แสงตะวันนั่นแหล่ะ

ทีนี้ความน่ารักสดใสของเจ้าหล่อนดันไปต้องตา Pluto (Hades) ซึ่งนอกจากเป็นเทพแห่งความตายปกครองคนตายใต้โลกแล้ว (god of death and the dead) ยังเป็นเทพแห่งสินแร่มีค่าที่ซุกซ่อนใต้โลกด้วย (god of the hidden wealth of the earth) Pluto นั้นถือเป็นเทพใหญ่ทีเดียวเพราะเป็นพี่น้องท้องเดียวกับมหาเทพ Zeus

ลักษณะของ Pluto คืออายุจะร่วมสมัยกับ Zeus และ Poseidon มีหนวดเคราพอน่าสะพรึงกลัว มือถือคฑา (scepter) และมีหมาสามหัวคู่ใจคือ Cerberus ที่เราคงพอคุ้นตาในภาพยนตร์ Harry Potter (เจ้า Fluffy มันไม่ใช่หมาบ้านหรือ ‘dog’ นะคะ มันคือหมาล่าเนื้อหรือ ‘hound’) เจ้าหมานี้มีหน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูใต้โลก มันจะไม่ยอมให้ผู้ใดได้ล่วงล้ำประตูเข้าไปหรือหนีออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาด มีเพียงครั้งเดียวที่มันยอมให้มนุษย์ผ่านเข้าไปคือครั้งที่ Psyche เดินทางมาขอแบ่งความงามจาก Proserpine บ้างว่าสาวน้อย Psyche ได้ยื่นขนมให้มันกิน บ้างก็ว่า Psyche สวยมากจนแม้ Cerberus ยังยอมนอนกลิ้งเป็นลูกหมาน่าเอ็นดู



Psyche and Cerberus (left)

'Fluffy' in Harry Potter (right)





Pluto ไม่รอช้า รี่ไปขอน้องนางจาก Zeus บนเขา Olympus ในทันที คราวนี้ Zeus ต้องลำบากใจอย่างหนักเพราะใจนึงก็ไม่อยากยกลูกสาววัยกระเตาะให้ไปอยู่กับเทพเย็นชาน่ากลัวที่ใต้โลก ทว่า Pluto ก็เป็นพี่น้อง และก็ถือเป็นเทพใหญ่ ปกครองอาณาจักรคนตาย Zeus จึงมิได้รับปาก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือแสดงอาการรังเกียจให้ชัดเจน

Pluto เห็นดังนั้นจึงฉวยโอกาศจากช่องโหว่ทางกฎหมายเสียเลย ถือว่าพ่อเขาไม่ได้ยกให้แต่ก็ไม่ได้ห้ามนี่หว่าขณะที่นาง Proserpine กำลังเพลิดเพลินเก็บบุปผามาลีตามสูตรสาวสวย Pluto ก็บันดาลให้แผ่นดินแยกและบุกขึ้นไปฉุดนางในจังหวะอลหม่านทันที






Ceres ไม่เห็นศรีษะลูกสาวก็กระวนกระวายกินไม่ได้นอนไม่หลับ ทุกข์โทมนัสจนต้นไม้ใบหญ้าพากันเฉาตาย จากนั้นบรรดาสัตว์ก็เริ่มอดตายตามกันไป โลกเริ่มกลายเป็นทะเลทราย Zeus เห็นท่าไม่ดีจึงให้เทพผู้ส่งสาร Mercury (Hermes) ไปเจรจาขอลูกสาวคืนมาจาก Pluto


Pluto รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีผู้ใดขัดขืนคำสั่งของ Zeus ได้ ก่อนปล่อยตัว Proserpine ไปจึงแอบให้กินเมล็ดทับทิม (pomegranate seed) แล้วปล่อยตัวไป เมื่อแม่ลูกได้พบกันต่างก็ดีใจสุดๆ หากแต่ดีใจกันได้เพียงไม่นาน เมื่อ Ceres รู้เข้าว่าลูกสาวได้กินอาหารจากใต้โลกแล้วก็เสียใจมากเพราะตามกฏนั้นหากผู้ใดได้กินอาหารจากใต้โลกแล้วล่ะก็ก็จะไม่มีวันได้หนีจากใต้โลกไปได้ สองแม่ลูกจึงได้แต่เสียใจเพียงเพราะทับทิมไม่กี่เมล็ดเท่านั้นเอง

ในที่สุด Zeus จึงต้องออกโรงเพื่อผดุงความยุติธรรม โดยส่ง แม่เฒ่า Rhea ซึ่งเป็นแม่ของ Zeus และ Ceres ให้ช่วยเจรจากับ Ceres ให้ที แม่เฒ่าก็ว่าดังนี้

Come, my daughter, for Zeus, far-seeing, loud-thundering, bids you.

Come, once again to the halls of the gods where you shall have honor,

Where you will have your desire, your daughter, to comfort your sorrow

As each year is accomplished and bitter winter is ended.
For a third part only the kingdom of darkness shall hold her.
For the rest you will keep her, you and the happy immortals.
Peace now. Give men life which comes alone from your giving.


(qtd. Edith Hamilton's)


ดังนั้นในหนึ่งปี Proserpine จะได้ใช้เวลาช่วงสองในสามของปีอยู่กับแม่ ซึ่งก็คือช่วงที่โลกเรามีสภาพอากาศสดใส มีแสงแดดเพราะ Ceres แฮปปี้ และ Proserpine จะต้องไปอยู่ใต้โลกกับสามีที่นางมิได้สมยอมอีกประมาณ 4 เดือน Ceres ก็จะระทมทุกข์คิดถึงลูกสาว พืชพรรณก็เลยพากันแห้งตาย นี่คือที่มาที่ไปว่าทำไมในหนึ่งปีโลกเรา (ทางตะวันตก) จึงมีอากาศหนาวเสียจนต้นไม้ใบหญ้าพากันยืนต้นตายเสีย 3-4 เดือน และมีแสงอาทิตย์ให้พออบอุ่นได้ 8-9 เดือนจ้า

ปอลอ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าไปแอบกินอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า




















































วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Cupid and Psyche

เราคุ้นเคยกับ Cupid (คิวปิด) ในฐานะกามเทพตัวน้อยที่ชอบแก้ผ้าล่อนจ้อนบินไปแผลงศรให้คนรักไปเรื่อย แต่คิวปิดก็เป็นเทพ (‘กาม’เทพเสียด้วย) และเทพกรีกนั้นก็มีลักษณะมิต่างจากมนุษย์ มีรัก โลภ โกรธ หลง ดัดจริต อิจฉา etc. ทว่าเป็นอมตะ (immortal)



ชื่อกรีกของคิวปิดคือ Eros (รากศัพท์ของคำว่า erotic ในภาษาละติน amor ภาษาฝรั่งเศส amour แปลว่าความรัก) คิวปิดเป็นลูกชายหัวแหวนเม็ดเป้งของเทพีแห่งความงามและความรัก Venus (ชื่อกรีกคือ Aphrodite เรียกชื่อโรมันคือ วีนัส ชีวิตลำบากน้อยกว่า ต่อไปนี้จะใส่ชื่อกรีกไว้ในวงเล็บนะคะ) ใครเป็นพ่อนี่ยังสรุปไม่ได้เพราะบ้างก็ว่าอาจเป็นมหาเทพ Jupiter (Zeus) หรือเทพแห่งสงคราม Mars (Ares) ไม่ก็เทพผู้ส่งสาร Mercury (Hermes)



ความรักของคิวปิด version ที่จะนำมาเล่าขานในกาล Valentine นี้คิวปิดนมแตกพานเข้าวัยหนุ่มสะพรั่งแล้ว ครั้งนั้นมีลูกสาวเจ้าเมืองกรีกนางหนึ่งชื่อ Psyche (ไซคี) งามสุดๆ งามจนไม่มีชายใดกล้ารับไปเป็นศรีภรรยาแต่กลับแห่กันมาบูชานางแทน Venus ซึ่งเป็นเจ้าของตำแหน่งเทพี (goddess) และนางงามอันดับหนึ่งจึงรับไม่ได้ สั่งให้ Cupid จัดการนางเสีย แต่เมื่อ Cupid เห็นนาง Psyche เข้าดันตกหลุมรักนางเข้าอย่างจัง งานเข้าเสียแล้ว…จะบอกหม่อมแม่ว่ากระไรดี

Cupid จึงออกอุบายให้เทพ Apollo ไปลวงท่านเจ้าเมืองว่า Psyche มีชะตาต้องเป็นเมียอสูรกาย ให้นำนางไปปล่อยไว้ที่เนินเขามิเช่นนั้นจะเกิดอาเพศ Psyche จึงจำใจไปถึงเนินเขาและผล็อยหลับไป ทว่าเมื่อตื่นขึ้นมา แต่นแต๊น นางกลับอยู่ที่บ้านใครก็ไม่รู้ ใหญ่โตหรูหรามลังเมลือง และเมื่อราตรีมาเยือนอีกครั้งนางก็ได้พบรักในความมืดกับอสุรกายสุดหล่อจอมวางแผนนั่นเอง


ชีวิตคู่ผัวตัวเมียของทั้งสองเป็นไปอย่างดี ทุกคืน Cupid จะมาหาศรีเมียรักและจะหายศรีษะไปในยามอรุณรุ่ง ทั้งนี้เพราะ Cupid รู้อยู่แก่ใจว่าหาก Psyche รู้ว่านางมีสามีรูปหล่อบ้านรวยนางจะต้องเอาไปเม้าธ์กะที่บ้านแน่ๆเลย แล้วเดี๋ยวความแตกไปถึงหูแม่ตนแล้วจะซวย Cupid จึงไม่เคยให้นาง Psyche เห็นหน้า ประมาณว่าอย่าดูเลย ตนอัปลักษ์ อยู่กินกันแบบมืดๆก็พอแล้ว
แต่…ความลับรึจะมีในโลก วันหนึ่ง Psyche บอก Cupid ว่าพี่สาวทั้งสองร้องไห้คิดถึงตนมาก ขอให้พวกเขามาเยี่ยมเถิด Cupid ใจอ่อนจึงยอมให้ แล้ววันนั้น Psyche ผู้อ่อนต่อโลกก็ถูกพี่สาวเสี้ยมให้หาทางดูหน้าสามีให้ได้ อาร๊าย อยู่กินกันมาไม่เคยเห็นหน้าช่างประหลาด

ตกดึกคืนนั้นเมื่อมั่นใจว่า Cupid หลับสนิท Psyche ก็ย่องเอาเทียนมาส่องดูหน้า โอ้วจอร์จ…เพิ่งรู้ว่าสามีฉันหล่อขั้นเทพขนาดนี้ Psyche มัวแต่อึ้ง ทึ่ง เสียว น้ำตาเทียนจึงหยดลง Cupid สะดุ้งตื่นทันที Cupid ทั้งโกรธและเสียใจ จึงเป็นที่มาของประโยคทองที่ว่า “Love cannot live where there is no trust” รักกันต้องเชื่อใจกัน




Cupid ช้ำใจบินกลับไปหาหม่ามี้ที่บ้าน ส่วน Psyche ทำสามีเทพหลุดมือไปเสียใจมาก จึงเดินทางไปหา Venus เพื่อขอพบลูกชาย ว่าแต่…เมื่อศัตรูความงามตัวฉกาจคลานเข่ามาขอร้องอยู่ตรงหน้า Venus หรือจะปล่อยไปง่ายๆ ตามสไตล์แม่ผัวตัวแสบ Venus จึงว่าถ้าอยากพบ Cupid ก็ต้องทำตามที่หล่อนสั่ง และคำสั่งแต่ละอย่างนั้นก็ล้วนเป็นสิ่งเกินความสามารถของมนุษย์ทั้งนั้น อาทิเช่น ให้แยกเมล็ดถั่วมากมายภายในหนึ่งคืน (แต่แล้วมีฝูงมดใจดีมาช่วย คริๆ) ให้ไปตักน้ำที่แม่น้ำ Styx ซึ่งคนเป็นจะลงไปไม่ได้ (แต่แล้วก็มีนกใจดีคาบกระป๋องไปตักให้ ฮุๆ) จนคำสั่งสุดท้ายนั่นคือให้ลงไปหาเทพี Proserpina (Persephone) ที่ใต้โลก ก็ที่นรกนั่นแหล่ะ (the underworld or hell) แล้วขอแบ่งความงามมาจากกล่องวิเศษของ Proserpina หน่อยนึง หนทางไปนรกนั้นยากลำบากแต่สาวสวยย่อมมีผู้ช่วยเสมอ แถมยังเป็นสาวสวยผู้เปี่ยมด้วยรักแท้นี่ใครๆก็คงพากันเอ็นดูเนอะ ในที่สุด Psyche ก็ได้ความงามมาสักสองสามขีดกระมัง พลางนึกในใจว่า “นี่เดี๋ยวชั้นก็จะได้พบกับสามีเทพสุดหล่อแล้ว ถ้าCupid เห็นชั้นสภาพที่เพิ่งมาจากนรกนี่คงแย่” ว่าแล้วเลยเปิดกล่องขอแอบใช้ความงามจาก Proserpina นิสนึง ทว่าเมื่อนางเปิดกล่องนางกลับต้องมนต์ ผล็อยหลับไป (จำไว้ ความสวยแบบเปิดกล่องแล้วสวยเลยมันไม่มีจริง)


Cupid ที่คอยเฝ้ามองอยู่ห่างๆนั้นเห็นความตั้งใจและความรักของ Psyche จึงเหาะลงมาหาและพาขึ้นไปหามหาเทพ Jupiter ขอความเป็นอมตะ (immortality) ให้กับ Psyche ด้วย ส่วนแม่ผัวตัวแสบนั้นก็ปีติยินดียิ่งนักที่ Psyche มาเป็นเทพีมาอยู่บนสวรรค์เพราะนั่นหมายความว่าตนได้ตำแหน่งสวยเบอร์หนึ่งบนภาคพื้นปฐพีคืนมาแล้วนั่นเอง เรื่องราวความรับของกามเทพก็จบลงอย่าง happy ending ด้วยประการฉะนี้จ้า